มหาดไทยหวั่น “พร้อมเพย์” ป่วนเงินสวัสดิการรัฐ 4 ด้าน ซ้ำรอยระบบคืนภาษี แจ้งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศทำการบ้านก่อนชี้แจง อปท.-ผู้รับสวัสดิการ “เบี้ยเด็กแรกเกิด-เบี้ยคนพิการ-เบี้ยผู้สูงอายุ-เงิน อสม.” ที่ยังไม่ได้เปิดบัญชีลงทะเบียนพร้อมเพย์รีบเปิดบัญชีผ่าน 13 ธนาคาร หลังระบบคืนภาษีผ่านพร้อมเพย์ได้เงินคืนช้ากว่าที่แจ้ง
วันนี้ (11 ม.ค.) มีรายงานจากกระทรวงมหาดไทย ว่ากรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยเพื่อสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เร่งชี้แจงผู้นำท้องถิ่นและประชาชน ในองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ต่างๆ ทั่วประเทศ ที่เป็นผู้มีสิทธิรับเงินสวัสดิการสังคมและเงินอื่นในลักษณะเดียวกันทียังไม่มีการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร ตามนโยบายอี-เพย์เมนต์ ได้เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารและลงทะเบียนพร้อมเพย์ หรือการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารศูนย์บาท ด้วยเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ผ่านธนาคาร 13 แห่ง
ทั้งนี้ เงินสวัสดิการและเงินอื่นในลักษณะเดียวกันที่ประชาชนจะได้รับจากภาครัฐตามโครงการบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม 4 โครงการ ประกอบด้วย ผู้มีสิทธิรับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ผู้มีสิทธิรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ผู้มีสิทธิรับเบี้ยคนพิการ และผู้มีสิทธิรับเงินค่าป่วยการอาสาสมัครอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) โดยนำหลักฐานและเอกสารของผู้มีสิทธิมาแสดงตน และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบลงทะเบียนสวัสดิการ ณ สาขาธนาคารที่ให้บริหารเปิดบัญชีพร้อมเพย์ (ยกเว้นเงินขั้นต่ำสำหรับการเปิดบัญชี) เพื่อดำเนินการปรับปรุงฐานข้อมูลของผู้มีสิทธิที่จะได้รับเงินสวัสดิการจากรัฐของเดือนมกราคม 2560 และครั้งต่อไป
มีรายงานว่า เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาระบบพร้อมเพย์เกิดปัญหาหลัง กรมสรรพากร ได้ประกาศที่จะคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปี 2559 ผ่านระบบพร้อมเพย์เข้าบัญชีเงินฝากผูเสียภาษีโดยตรง โดยจะได้คืนภายใน 1 วันเท่านั้น แต่ปรากฏว่าประชาชนที่ขอคืนภาษีผ่านพร้อมเพย์ไม่ได้รับเงินเข้าบัญชี โดยมีเพียงข้อความเอสเอ็มเอสว่ากรมสรรพากรจ่ายเงินคืนภาษีให้แล้ว และมีเพียงคำตอบว่าจะเงินเร็วหากมีบัญชีพร้อมเพย์กับธนาคารกรุงไทยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวได้รับคำขอโทษจากผู้บริหารกรมสรรพากร และชี้แจงว่าประชาชนจะได้รับคืนภาษีผ่านระบบพร้อมเพย์ตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.นี้ แต่ธนาคารกรุงไทยสามารถทำได้เร็วกว่าธนาคารอื่น คือวันที่ 4 ม.ค. และสถาบันการเงินต่างๆ จะเริ่มใช้ในไตรมาสแรกปีนี้
