อดีต สปช. ตั้งคำถามเหตุราคาขายปลีกน้ำมันในไทยแพงกว่าเพื่อนบ้าน เพราะนโยบายอุ้มชูกลุ่มทุนพลังงาน และอุตสาหกรรมเอทานอล โดยผ่านกองทุนน้ำมันใช่หรือไม่ ชี้ สถานะกองทุนน้ำมันล่าสุดมีเงินถึง 4 หมื่นกว่าล้าน มากเกินไป จึงหาทางละลายด้วยการขึ้นราคาน้ำมันและจ่ายชดเชยให้มากที่สุด แนะนายกฯ ช่วยเอาคนค่อมอ้วนพีลงจากหลังประชาชนได้หรือไม่
เมื่อวันที่ 5 ม.ค. เวลา 17.44 น. น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กรุงเทพมหานคร และ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านพลังงาน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจรสนา โตสิตระกูล กรณีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดเมื่อวันที่ 5 ม.ค. ที่ผ่านมา ว่า ทำให้หลายคนถามว่าทำไมน้ำมันไทยแพงกว่าพม่า ทั้งที่พม่าไม่มีโรงกลั่นของตัวเอง เบนซิน 95 ของไทยแพงกว่าพม่าลิตรกว่า 15 บาท ดีเซลของไทยก็แพงกว่าพม่าลิตรกว่า 8 บาท สาเหตุที่ราคาน้ำมันไทยแพง และไม่เป็นไปตามกลไกตลาดโลก กลุ่มทุนพลังงานมักอ้างว่าแพงเพราะภาษี แต่สิ่งกลุ่มทุนไม่เคยพูดถึง คือ ราคาน้ำมันไทยแพง เพราะอยู่ภายใต้กลไกเตี้ยอุ้มค่อม กลไกราคาน้ำมันแพงเกิดจากการจัดการด้วยสูตรราคาเพื่ออุ้มชูกลุ่มทุนพลังงานของทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ใช่หรือไม่
น.ส.รสนา ระบุอีกว่า ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกลดต่ำลงมากว่า 2 ปีแล้ว แต่กลุ่มทุนพลังงานและข้าราชการที่รัฐบาลเชื่อถือยังอ้างว่าต้องเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันต่อไปเพื่อความมั่นคงในอนาคตของคนไทย จะได้เอากองทุนน้ำมันมาชดเชยตอนราคาน้ำมันแพง แต่แท้จริงแล้ว การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเป็นกระบวนการยักย้ายเงินจากกระเป๋าของประชาชนเข้ากลุ่มทุนพลังงาน ด้วยกลไกการชดเชยน้ำมันเบนซินผสมเอทานอล ใช่หรือไม่?
ลองดูโครงสร้างราคาน้ำมันวันที่ 5 มกราคม 2560 จะเห็นว่า ปัจจุบันมีการนำเงินจากกองทุนน้ำมันมาจ่ายชดเชยให้กับน้ำมันเพียง 2 ชนิด คือ E85 ชดเชยลิตรละ 9.35 บาท E20 ชดเชยลิตรละ 3 บาท ส่วนน้ำมันชนิดอื่นจะถูกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันมากบ้างน้อยบ้าง โดยเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันจากเบนซิน95 สูงที่สุดคือ ลิตรละ 6.31 บาท และเก็บภาษีสรรพสามิตจากเบนซิน 95 สูงสุดอีกเช่นกันคือลิตรละ 6.50 บาท และเก็บค่าการตลาดเกินกว่า1.50 บาท/ลิตร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยด้วยข้ออ้างขายน้อยเลยมีค่าการตลาดสูง
ราคาน้ำมันของไทยจึงไม่ได้เป็นไปตามกลไกตลาดโลกอย่างที่ชอบอ้างกัน แต่เป็นไปตามกลไกการจัดการผ่านกองทุนน้ำมัน ซึ่งเป็นกองทุนที่ไม่มีกฎหมายรองรับ แต่ทุกรัฐบาลไม่ยอมยกเลิก
กระบวนการล้วงกระเป๋าประชาชนเริ่มด้วยการถ่างราคาเบนซิน 95 ให้สูงขึ้น จากเนื้อน้ำมันลิตรละ 16.8977บาท มีการบวกค่าอะไรต่อมิอะไรเข้าไปอีก 18.16 บาท ทำให้ราคาขายปลีกเบนซิน 95 อยู่ที่ลิตรละ 35.06 บาท เพื่อจะได้กำหนดช่วงห่างราคาของน้ำมันชนิดอื่นๆ ให้ดูสมเหตุสมผล ราคาน้ำมันที่ขายในประเทศจึงไม่ได้เป็นไปตามกลไกการแข่งขันแต่อย่างไร แต่เป็นไปตามกำไรที่ต้องการ ผ่านกระบวนการชดเชยราคาน้ำมันที่ผสมเอทานอลสูงๆ จากกองทุนน้ำมัน ใช่หรือไม่?
การผลิตเอทานอลเป็นเชื้อเพลิงทดแทนเป็นโครงการในพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ ๙ เพื่อช่วยเหลือให้คนไทยได้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในราคาต่ำลง โดยพระองค์ท่านทรงมีดำริว่าการเติมเอทานอลลงไปสัก 10% ก็จะช่วยลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างน้อยลิตรละสัก 50 สตางค์ (โดยไม่ต้องมีกองทุนชดเชยแต่อย่างใด)
แต่ปัจจุบันกลายเป็นว่ายิ่งเติมเอทานอลลงในน้ำมันเบนซินมากเท่าไหร่ ราคากลับแพงมากขึ้นกว่าเบนซินล้วนๆ นี่เป็นการกระทำที่ขัดต่อพระราชประสงค์เริ่มแรกของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ใช่หรือไม่?
ดังจะเห็นได้ว่า ราคาเนื้อเบนซิน 95 มีราคา 16.8977 บาท/ลิตร แต่เอทานอลไทยราคาลิตรละ 23.07 บาท ราคาเอทานอลสหรัฐฯ วันที่ 3 ม.ค.2560 ราคา 1.61 $/1แกลลอน (3.785 ลิตร) เท่ากับราคา 15.34 บาท/ลิตร ซึ่งถูกกว่าราคาเอทานอลไทยถึงลิตรละ 7.73 บาท
น้ำมัน E85 ที่มีเบนซินเพียง 15% มีเอทานอล 85% แต่กลับมีราคาลิตรละ 21.5269 บาท ซึ่งแพงกว่าน้ำมันเบนซิน 95 ถึงลิตรละ 4.63 บาท เมื่อบวกค่าการตลาดซึ่งสูงถึง 5.4632 บาท/ลิตร และภาษี และกองทุนอนุรักษ์พลังงานจึงทำให้ราคาน้ำมัน E85 มีราคาสูงมากถึงลิตรละ 29.64 บาท
ราคาน้ำมัน E85 ถ้าเป็นไปตามกลไกตลาดเสรี ย่อมไม่มีคนใช้อย่างแน่นอน จึงต้องใช้กองทุนน้ำมันมาชดเชยถึงลิตรละ 9.35 บาท เพื่อลวงตาผู้บริโภคว่ามีราคาถูกเพียงลิตรละ 20.29 บาทเท่านั้น
การบริหารราคาน้ำมันแบบนี้ จึงไม่มีทางที่จะยกเลิกกองทุนน้ำมันได้ และข้ออ้างว่าต้องรักษากองทุนน้ำมันไว้เพื่ออนาคตของคนไทย จึงเป็นคำลวงโลก ใช่หรือไม่?
สถานะกองทุนน้ำมันสิ้นสุด ณ 1 ม.ค. 2560 มีเงินเหลืออยู่ถึง 41,136 ล้านบาท เป็นยอดเงินที่มากเกินไป จึงทำให้ต้องรีบละลายกองทุนให้มากที่สุดด้วยการทั้งขึ้นราคา และนำกองทุนมาชดเชยให้มากที่สุด ใช่หรือไม่?
การกล่าวอ้างว่าต้องชดเชยเอทานอลเพื่อช่วยชาวไร่มันสำปะหลัง ก็เป็นอีกเรื่องที่เอาชาวไร่มันมาบังหน้า ใช่หรือไม่? เพราะเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังมีสัดส่วนประมาณ 30% เอทานอลส่วนใหญ่มาจากกากน้ำตาลของธุรกิจโรงงานน้ำตาล ที่ก่อนหน้านี้ ไม่มีมูลค่าราคา แต่เอามาอิงราคากับมันสำปะหลังจึงทำให้กากน้ำตาลเกิดมูลค่าและมีราคาแพงเกินจริง ใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ดี การช่วยเหลือให้อุตสาหกรรมเอทานอลยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง และแข่งขันได้ ต้องไม่ใช่ใช้วิธีผูกขาด และบอนไซอุตสาหกรรมเอทานอลแบบนี้ อุตสาหกรรมผลิตเอทานอลมาผสมน้ำมันเชื้อเพลิงเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2544 และขายกันจริงจังปี 2547 ผ่านมาแล้ว 12 ปี อุตสาหกรรมเอทานอลยังช่วยตัวเองไม่ได้ เป็นเรื่องที่ต้องตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น รัฐบาลควรพิจารณาว่ามีความผิดปกติเพราะอะไรไม่ควรตะบี้ตะบันช่วยกันต่อไปแบบหลับหูหลับตา
เพราะแต่ก่อนเคยอ้างว่าต้องเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันมาเพื่ออุ้มราคาก๊าซหุงต้ม กลุ่มทุนพลังงานออกมาโจมตีว่าไม่เป็นธรรมต่อคนใช้น้ำมันที่ต้องมาอุ้มคนใช้ก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือน ภาคยานยนต์ และผลักดันให้รัฐบาลลอยตัวก๊าซหุงต้ม เวลานี้รัฐบาลก็ปล่อยให้ราคาลอยตัวตามความต้องการของกลุ่มทุนแล้ว ซึ่งราคาก๊าซหุงต้มในประเทศก็แพงกว่ากลไกตลาดโลก แต่ไม่ยอมยกเลิกกองทุนน้ำมันที่ไม่มีกฎหมายรองรับเสียที
การช่วยเหลือให้อุตสาหกรรมเอทานอลยืนได้ ควรเป็นการช่วยในระยะเริ่มแรกเหมือนช่วยให้เด็กตั้งไข่ ให้ยืน เดิน และวิ่งได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ช่วยกันแบบเตี้ยอุ้มค่อม คือ ให้ประชาชนที่ต่ำเตี้ยทางเศรษฐกิจ และผอมแห้งแรงน้อยต้องมาอุ้มมาแบกคนค่อมแต่อ้วนพีคือธุรกิจโรงกลั่น และธุรกิจโรงงานน้ำตาลกันตลอดกาลนานใช่หรือไม่?
“ต้องถามรัฐบาลและนายกฯ ที่อุตส่าห์แต่งเพลงสะพาน บอกว่า จะยอมตัวเป็นสะพานให้คนไทยเดินบนหลังไปสู่สังคมร่มเย็นในอีกไม่นานนั้น สังคมจะร่มเย็นทันที ด้วยสิ่งแรกที่จะขอจากนายกฯ ในปีใหม่นี้คือ ช่วยเอาคนค่อมแต่ตัวหนักอ้วนพีลงจากหลังของประชาชนคนไทยเสียก่อน ไม่งั้นหลังของท่านนายกฯ อาจจะหักได้ ถ้าประชาชนทั้งชาติต้องแบกอุ้มคนค่อมอ้วนๆ (ที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นทุกวัน) เดินบนสะพานของท่านนายกฯ นะคะ” น.ส.รสนา กล่าว