เมืองไทย 360 องศา
ถ้าพูดถึงเรื่องข้าว ชาวนา เกษตรกร รับรองว่า ย่อมไม่จบไม่สิ้น เพราะมีเรื่องราวและรายละเอียดมาให้พูด ให้ถกเถียงกันได้ทุกวัน ยิ่งเป็นเรื่องปัญหาความยากจน หนี้สิน ราคาผลผลิตตกต่ำนั้นรับรองว่าเป็นปัญหาที่ตึงเครียด และนับวันยิ่งมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่หาทางแก้ปัญหากันให้เบ็ดเสร็จแบบครบวงจร
สำหรับปัญหาราคาข้าวในปีนี้ ถือว่ามีปมปัญหาสลับซับซ้อนมากกว่าเดิม และที่สำคัญเป็นปัญหาที่ซ้ำเติมต่อเนื่องมาจากความเสียหายจากนโยบายในรัฐบาลก่อน นั่นคือปัญหาที่ต่อเนื่องมาจากโครงการรับจำนำข้าวในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่จนบัดนี้ปัญหายังคาราคาซังยังแก้ไม่จบ โดยเฉพาะการหาทางระบายข้าวที่ค้างสต๊อกยังเหลืออยู่ล้นโกดังอีกกว่า 18 ล้านตัน ที่ยังเป็นปัจจัยสำคัญส่งผลด้านจิตวิทยาต่อราคาข้าวในปัจจุบันอีกด้วย เนื่องจากเมื่อมารวมกับปริมาณข้าวนาปี นาปรัง ที่กำลังทะลักออกมาในช่วงเวลานี้
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาสำรวจปริมาณข้าวจากประเทศคู่แข่ง ก็ล้วนมีผลผลิตที่สูงขึ้นทั้งสิ้น หรือแม้แต่ประเทศไทยเองที่ปีนี้ต้องเจอกับภัยแล้งแบบสาหัส แต่กลายเป็นว่า ยังมีผลผลิตข้าวนาปีในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
เรียกว่าเอาเฉพาะแค่ปริมาณข้าวนาปีที่จะออกมา และปริมาณของประเทศคู่แข่งก็แย่งกันขายข้าวต้องวิ่งแข่งกันแทบตีนขวิดแล้ว ยังต้องมาเจอกับข้าวสต๊อกค้างปีจำนวนมหาศาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าไปอีก เจอแบบสองแรงบวกแบบนี้ ในตอนแรกๆรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงกับมึนไปพักหนึ่งเหมือนกัน
เพราะต้องเจอกับแรงขย่มของ เครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ที่นาทีนี้ยังใช้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก แน่นอนว่า ในทางการเมืองหากใครติดตามมานานย่อมเข้าใจดี ว่า มันมี “เดิมพันสูง” ทั้งเรื่องอนาคตทางการเมือง เสี่ยงคุกตะราง รวมไปถึงเสี่ยงต่อการถูดยึดทรัพย์ จากคดีอาญาและแพ่งจากคดีอันเนื่องมาจากปัญหาโครงการรับจำนำข้าวของพวกเขา
นั่นคือ ปัญหาอันใหญ่หลวงของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเครือข่ายกำลังเจออยู่ในตอนนี้และยังหาทางออกไม่ได้ เพราะทุกอย่างเดินไปตามเส้นทางตามขั้นตอนในศาลยุติธรรมแล้ว ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้เลย นอกจากต้องไปชี้แจงแก้ต่างตามพยานหลักฐานเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อได้จังหวะจากราคาข้าวตกต่ำ ที่แม้ว่าปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ราคาข้าวตกต่ำก็มาจากสต็อกข้าวที่ตกค้างมาจากโครงการรับจำนำที่ยังระบายไม่ทันนั่นแหละ แต่เมื่อได้จังหวะเหมาะก็ต้องอาศัยลูกชุลมุนลงมาเล่นเกมนี้กันให้เต็มเหนี่ยว เราจึงได้เห็นการออกมาเคลื่อนไหวการรับซื้อข้าวจากชาวนา และการขายข้าวช่วยชาวนาของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นอีเวนต์ สร้างกระแสจากสังคมได้ดีทีเดียวโดยเฉพาะการถล่มโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเรื่องราคาข้าว อย่างน้อยการ “บีบน้ำตา” ร่วมทุกข์กับชาวนา เมื่อมีการถ่ายรูปออกสื่อมองเผินๆ บางทีมันก็หวั่นไหวเหมือนกัน
แม้ว่าวิธีการแบบนั้นสังคมก็พอมองออก อ่านขาดว่ามัน “ไม่เนียน” ไม่ยั่งยืน ขณะเดียวกัน เมื่อมาเจอกับกระแส “ร่วมด้วยช่วยกัน” แบบออกมาทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ กองทัพ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ดารา สารพัดช่วยกันคนละไม้ละมือ ช่วยเหลือรณรงค์ช่วยกันเปิดพื้นที่ ช่วยกันออกความคิดให้ชาวนาขายข้าว ใช้สื่อโซเชียลฯในทางสร้างสรรค์แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่น่าชื่นใจ และด้วยปรากฏการณ์แบบนี้มันก็ไปกลบ “ดรามา” ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่แม้ว่าจะถูกออกแบบมาอย่างดีแค่ไหนมันก็ถูกกลืนไปกับกระแสสังคมดังกล่าวเสียจนมิด
ขณะเดียวกัน เมื่อพูดถึง “การร่วมแรงร่วมใจ” กันดังกล่าว มันก็อดไปเปรียบเทียบกับยุทธศาสตร์ “ประชารัฐ” ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กำลังผลักดันให้เห็นผลเป็นรูปธรรมจับต้องได้กว่าเดิม ซึ่งจากปัญหาราคาข้าวตกต่ำในครั้งนี้ มองอีกมุมหนึ่งอาจเป็นการ “พลิกมาเป็นโอกาส” ให้เกิดผลก็เป็นได้ เพราะประชารัฐในความหมายการ “รวมพลัง” ทุกภาคส่วน คือ ประชาชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐ มารวมพลังแก้ปัญหาแบบมีส่วนร่วมและบูรณาการร่วมกัน ซึ่งสวนทางและตรงข้ามกับ “ประชานิยม” ที่แบมือรับอย่างเดียว จนทำให้สังคมเกิดความอ่อนแออย่างที่เป็นอยู่
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา การร่วมแรงร่วมใจกันแบบประชารัฐ ต้องยอมรับว่า ยังไม่ปรากฏดอกผลที่ชัดเจน หรือยังไม่แพร่หลายแบบคุ้นหูมาถึงระดับชาวบ้านมากนัก แม้ว่าทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมไปถึง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ที่เป็นกลไกสำคัญในการผลักดัน แต่ผลที่ตอบสนองกลับมาในตอนต้นก็ต้องยอมรับว่ายังไม่ฮือฮา ยังต้องใช้เวลาในการพิสูจน์กันแบบยาวๆ เน้นๆ อีกสักพักหนึ่ง
แต่ก็อย่างว่าแหละ ในบางครั้งในวิกฤตในบางมุมมันก็อาจมาพร้อมกับโอกาส เหมือนกับได้เวลาของการพิสูจน์ “ยุทธศาสตร์ประชารัฐ” ว่า บูรณาการกันได้จริงหรือไม่ ที่น่าจับตาก็คือ การผนึกความร่วมมือกับ “กลุ่มทุน” ต่างๆ ในการช่วยเหลือชาวนา ที่น่าสนใจก็คือ การเคลื่อนไหวของเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี ในเวลานี้
จากการแถลงของ ศุภชัย เจียรวนนท์ รองประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ก่อนหน้านี้ ที่ประกาศให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอย่างเต็มที่ และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวนา โดยขณะนี้ได้มีนโยบายให้ บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจข้าวในเครือ เร่งรับซื้อข้าวเร็วขึ้นจากฤดูกาลเดิม เพื่อช่วยระบายผลผลิตข้าวเปลือกในระบบตลาด พร้อมเปิดจุดรับซื้อข้าวตรงจากชาวนารวม 18 จุดทั่วประเทศ เพื่อนำข้าวเปลือกที่รับซื้อดังกล่าวมาดำเนินโครงการข้าวชาวนาไทย โดยจะจำหน่ายในราคาต้นทุน
“เราจะให้บริษัทในเครือ ทั้งร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น, ห้างค้าส่งแม็คโคร, ร้านซีพี เฟรชมาร์ท, ร้านทรูช้อป, ร้านกาแฟทรูคอฟฟี่ และ ช่องรายการทรูซีเลคท์ ทางโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกทรูวิชั่นส์ พร้อมให้การสนับสนุนอำนวยความสะดวกเป็นช่องทางจำหน่ายเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาไทย โดยข้าวชาวนาไทย มีขนาด 5 กิโลกรัม ราคา 125 บาท นอกจากนี้ บมจ. สยามแม็คโคร ยังยินดีที่จะเปิดพื้นที่หน้าห้างแม็คโครทุกภูมิภาค เพื่อให้เกษตรกรได้ขายข้าวสารตรงถึงมือผู้บริโภคอีกด้วย” คำพูดของรองซีอีโอซีพี ยืนยันหนักแน่นให้เห็นภาพ
แน่นอนว่า การกระโดดลงมาของเครือซีพีครั้งนี้ ย่อมต้องเป็นที่จับตามองของสังคม มีเสียงวิจารณ์ปะปนตามมาด้วย แต่อย่างที่บอกของแบบนี้มันสามารถพิสูจน์กันได้ และพิสูจน์กันยาวๆ และที่สำคัญ ในยุคของการสื่อสารยุคใหม่ มันไม่สามารถบิดบังอะไรกันได้ ขณะเดียวกัน หากเรามองในมุมบวกก็ต้องบอกว่านี่อาจเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ภาคเอกชนที่เป็น กลุ่มธุรกิจผนึกกำลังกันในการช่วยเหลือชาวนา ซึ่งแน่นอนว่า ด้วยกลไกและสาขาของร้านเซเว่นอีเลฟเว่นทั่วประเทศกระจายอยู่ทุกตำบลมันย่อมมีพลัง อย่างน้อยในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับการเร่งระบายข้าวออกมาให้เร็วที่สุด เป็นการดูดซับส่วนเกินออกมาให้ได้มากที่สุด มันก็มีผลดีไม่ใช่หรือ
สำหรับในส่วนของคำถามหรือเสียงวิจารณ์ตามมา นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่สำคัญ ต้องพิจารณาถึงเป้าหมายว่าเราต้องการช่วยเหลือชาวนาอย่างเร่งด่วนหรือไม่ ขณะเดียวกัน นี่คือ โอกาสครั้งสำคัญสำหรับการพิสูจน์ “ประชารัฐ” ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ต้องการนำมาแก้ปัญหาแบบบูรณาการได้อีกทางหนึ่งว่าทำได้จริง แต่เท่าที่มองเห็นการเคลื่อนไหวของภาคเอกชนหลายกลุ่มที่ออกมาในครั้งนี้ ถือว่ามีแนวโน้มที่ดี อย่างน้อยก็เป็นแนวทางสำหรับอนาคต ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งแม้ว่าไม่อยากมองในบรรยากาศความร่วมมือที่เป็นอยู่ แต่มันก็เห็นว่านี่คือการ “ย้อนศร” กลับไปหายิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเครือข่ายในแบบที่ไปไม่เป็นเหมือนกัน !!