xs
xsm
sm
md
lg

“บุญทรง” ดิ้นสู้ ม.44 เชื่อถูกลัดขั้นตอนยึดทรัพย์ “คดีจีทูจีข้าว” คาดสูงกว่า 1.7 พันล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“บุญทรง” ดิ้นสู้ ม.44 สั่งชดใช้-ยึดทรัพย์ “คดีจีทูจีข้าว” คาดสูงกว่า 1,700 ล้านบาท จ่อฟ้องทุกศาลเอาผิดทุกคนที่เกี่ยวข้องจนกว่าจะถึงที่สุด อ้างถูกลัดขั้นตอนให้มีการเตรียมการยึดทรัพย์ เชื่อคำพูด “พี่ไม่ใช่นักการเมือง” ของ “อภิรดี ตันตราภรณ์” รมว.พาณิชย์ ถูกกดดันจนเจ้าหน้าที่ที่เป็นฝ่ายปฏิบัติเกรงกลัว

วันนี้ (19 ก.ย.) มีรายงานว่า นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กำลังเข้าสู่กระบวนการถูกเรียกร้องค่าเสียหายกรณีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) 4 สัญญา 6.2 ล้านตัน ได้เขียนบทความลงเฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่องความถูกต้องและเป็นธรรม มีใจความว่า “ตามที่กระผม นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ได้ถูกกล่าวหาเป็นคดีอาญา โดยพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องกระผมและผู้ที่เกี่ยวข้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขณะนี้นั้นคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลโดยอยู่ในขั้นตอนของการไต่สวนพยานโจทก์ ซึ่งในส่วนนี้กระผมขอยืนยันว่าการดำเนินการระบายข้าวเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนที่ปฏิบัติโดยถูกต้องต่อมาได้มีข่าวตามสื่อแขนงต่างๆว่าจะมีการใช้คำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งพิเศษเพื่อให้กระผมชดใช้ค่าเสียหายและตลอดถึงการยึดทรัพย์ ซึ่งทำให้กระผมเห็นความผิดปกติและความไม่เป็นธรรมในการออกคำสั่ง เพราะ

1. คดีที่กระผมถูกฟ้องร้องอยู่ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้นยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล แต่กลับมีความเร่งรีบ รวบรัด ให้มีการเตรียมการยึดทรัพย์ของกระผมและผู้ที่เกี่ยวข้อง แทนที่จะให้ความเป็นธรรมกับกระผม โดยนำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อให้กระผมต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ดังที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ดำเนินการอยู่ ดีกว่าการใช้อำนาจพิเศษตามที่รัฐบาลซึ่งมาจากการรัฐประหารกำลังใช้อยู่ในขณะนี้จะสง่างามกว่า ทั้งที่โดยหลักและเจตนารมณ์ของกฎหมายเกี่ยวกับกรณีทางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงในทางแพ่งจะต้องยึดเอาตามข้อเท็จจริงที่ได้จากคดีอาญา ดังนั้น เมื่อยังไม่มีคำพิพากษาของศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กระผมจึงเห็นว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งที่จะใช้อำนาจทางการบริหารแทนอำนาจของศาลเพื่อยึดทรัพย์ของกระผม

2. ในส่วนเรื่องค่าเสียหายที่จะใช้คำสั่งเพื่อยึดทรัพย์นั้น ในกรณีนี้กระผมเห็นว่า กรณีตัวเลขความเสียหายดังกล่าวเป็นตัวเลขที่ไม่ชัดเจนว่าได้มีความเสียหายเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เป็นเงินจำนวนเท่าไร เพราะคดีอาญายังไม่เสร็จสิ้น และเป็นการลัดขั้นตอน

3. ผู้ที่จะลงชื่อในคำสั่งบังคับทางปกครองเป็นอำนาจหน้าที่ของใคร ในประเด็นนี้กระผมทราบว่า มีการถกเถียงหารือว่าใครจะเป็นผู้ลงชื่อในเอกสารคำสั่งบังคับทางปกครอง ทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และปลัดกระทรวง หรือว่าคำสั่งบังคับทางปกครองนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เป็นเผือกร้อน มีพิรุธ ทุกคนที่มีอำนาจหน้าที่ต่างหลีกเลี่ยงที่จะลงนาม หรือเกรงกลัวว่าจะเป็นเหมือนข้าราชการคนก่อนๆที่กระทำตามหน้าที่ตามนโยบายของรัฐบาลแต่กลับถูกดำเนินคดีอยู่ในปัจจุบัน

กระผมขอแจ้งไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายว่า การนำมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวมาใช้บังคับเกี่ยวกับกรณีคำสั่งบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีสามารถที่จะใช้คำสั่งมาตรา 44 สั่งมาให้หน่วยงานต่างๆ ทำการยึดทรัพย์โดยให้มีผลคุ้มครองเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติให้ไม่มีความผิด แต่ต้องอย่าลืมว่าสิ่งที่ปฏิบัตินั้นต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะโดยความเป็นจริงแล้ว หากดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาไม่มีการกลั่นแกล้งกันหรือกระทำในสิ่งที่ไม่มีกฏหมายรองรับ ก็ไม่เห็นจะต้องมีมาตรา 44 มาให้ความคุ้มครองอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้ใช่หรือไม่ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ที่เป็นฝ่ายปฏิบัติเกรงกลัว เพราะทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าไม่สามารถดำเนินการได้ หรือคำสั่งบังคับทางปกครองนี้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ไม่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและความเป็นจริงและเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฏหมาย แต่เป็นเรื่องที่จะล้มล้างกันในทางการเมืองให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องดับสูญสิ้นไป ดังคำพูดหลุดจากปากนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ว่า “พี่ไม่ใช่นักการเมือง”

กระผมยืนยันว่าในกรณีคำสั่งโดยใช้อำนาจตาม มาตรา 44 เป็นการดำเนินการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย กระผมขอยืนยันว่ากระผมจะดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้องจนกว่าจะถึงที่สุด แม้นว่าจะต้องไปต่อสู้กันในศาลกี่ศาลก็ตาม หากไม่เช่นนั้นก็อย่าไปมีกฎหมายอะไรให้มากเรื่อง ใช้ ม.44 บริหารและปกครองบ้านเมืองนี้ไปเสียเลยครับ”

มีรายงานจากกระทรวงพณิชย์ว่า สำหรับเงินที่จะเรียกค่าเสียกรณีทุจริตระบายข้าวจีทูจี 4 สัญญา รวม 2 หมื่นล้านบาท พบว่าจะเป็นการเรียกค่าเสียหายจากนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ 1,770 ล้านบาท, นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ 2,300 ล้านบาท ส่วน พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์, นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ, นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศะเรียกค่าเสียหายคนละ 4,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ นายบุญทรงและพวกอาจถูกเรียกค่าเสียหายทุจริตระบายข้าวจีทูจีเพิ่มเติมอีก 8 สัญญา เนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะมีการชี้มูลความผิดต่อไป

มีรายงานอีกว่า คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งของกระทรวงการคลังจะสรุปตัวเลขความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวที่จะเรียกจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ภายในเดือน ก.ย.นี้


กำลังโหลดความคิดเห็น