กกต.ห่วงประชาชนไม่เข้าใจเนื้อหาร่าง รธน. ขณะเดียวกันก็มีขบวนการชี้นำให้กาขวาหรือซ้าย รับ-ไม่รับร่าง รธน. ถือเป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย ขู่เปลี่ยนรูปแบบบัตรลงประชามติ ดัดหลังพวกป่วน กำหนด 5 มาตรการกันบัตรปลอม ส่วนยอดขอใช้สิทธินอกเขตมีกว่าสองแสน
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง บรรยายพิเศษเรื่อง “ความสำคัญของการเลือกตั้งกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย” ให้แก่นักศึกษาหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง หรือ พตส. รุ่นที่ 7 ณ ห้องประชุม 704 สำนักงาน กกต. ตอนหนึ่งว่า หลักในการเลือกตั้งหรือการออกเสียงประชามตินั้น คือการทำให้ประชาชนเข้าใจในประเด็นที่จะมีการออกเสียงประชามติ ขณะนี้สิ่งที่หนักหนาสาหัสมาก คือ ประชาชนไม่ทราบหรือเข้าใจเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญเพียงพอที่จะตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ บางคนที่ตัดสินใจแล้วก็เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานการชี้นำของพวกพ้องหรือกลุ่มการเมืองที่ตนเองหลงใหลอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อประชาธิปไตยมาก
ทั้งนี้ ในการจัดเวทีชี้แจงที่ผ่านมาตนได้รับรายงานจากสายลับของตนที่นั่งปะปนกับผู้ที่ไปรับฟังชี้แจง พบว่ามีการพูดว่าไม่ต้องสนใจเนื้อหารัฐธรรมนูญ ให้กาไปเลยที่ด้านขวาทั้งหมด หรือด้านซ้ายทั้งหมด ซึ่งด้านขวาคือไม่รับ ส่วนด้านซ้ายคือรับร่างรัฐธรรมนูญ การทำเช่นนี้ไม่ส่งเสริมให้ประชาชนคิดหรือศึกษา แต่เป็นการบอกต่อแบบขาดสติ
“ถ้าผมเปลี่ยนรูปแบบของบัตรจะทำอย่างไร เพราะบัตรเลือกตั้งนั้นคนที่รู้แบบ สี รหัสนั้นมีผมคนเดียว ถาม กกต.คนอื่นไม่มีใครรู้ เพราะเวลาประชุมกับโรงพิมพ์นั้นผมไล่เจ้าหน้าที่ออกหมด จะเหลือแค่ 3 คน คือ ผมและเจ้าหน้าที่ กกต.อีก 2 คน กับเจ้าหน้าที่โรงพิมพ์เท่านั้น”
นายสมชัยยังกล่าวถึงมาตรการในการป้องกันไม่ให้มีบัตรออกเสียงประชามติปลอมว่า ประกอบด้วย 1. การกำหนดสีบัตรที่จะใช้โดยจะไม่มีการเปิดเผยสีที่จะใช้ 2. มีการใช้ตัวอักษรขนาดเล็กหรือไมโครเลทเตอร์ที่ต้องใช้แว่นขยายส่องดู 3. มีลายน้ำที่ต้องส่องกับแสงอุลตราไวโอเลตเท่านั้น จึงจะเห็นคือต้องใช้เครื่องมือตรวจธนบัตรมาใช้ และยังมีอีกสองอย่างที่ไม่เปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมมีมาตรการห้ามอย่างในการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันบัตรปลอม ซึ่งถ้ามีการปลอมเกิดขึ้นแล้วเอาบัตรมาให้ดูตนจะบอกได้ว่าบัตรนั้นปลอมหรือไม่
จากนี้ในเรื่องการอำนวยความสะดวกประชาชนนั้น กกต.ก็มีบทบาทให้คนที่มีสิทธิเข้าถึงในการใช้สิทธิให้ได้มากที่สุดส่วนการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิการและผู้สูงอายุที่จะมีการจัดหน่วยพิเศษซึ่งจะมีอุปกรณ์ในการอำนวยความสะดวกนั้น เบื้องต้นได้มีการจัดเตรียมไว้แล้ว 2 จุด คือ ที่บ้านบางแค 1 และ 2
นายสมชัยยังกล่าวถึงการปิดลงทะเบียนใช้สิทธิออกเสียงลงประชามตินอกเขตจังหวัดผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่ กกต.เปิดให้ดำเนินการตั้งวันที่ 1 พ.ค.ถึง 30 มิ.ย. 2559 นั้น มียอดผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น 158,423 คน ขณะที่การเปิดให้ยื่นลงทะเบียนด้วยตนเองต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.ถึงวันที่ 7 ก.ค. 2559 มียอดผู้ลงทะเบียน ณ วันที่ 30 มิ.ย.จำนวน 48,322 คน รวมมีผู้ลงทะเบียนขอใช้สิทธิออกเสียงนอกเขตจังหวัด แล้ว 206,745 คน ถือว่าค่อนข้างน่าพอใจ และใกล้เคียงกับการออกเสียงประชามติเมื่อปี 2550 อย่างไรก็ตาม ยังเหลือเวลาอีก 7 วันที่ประชาชนยังสามารถยื่นลงทะเบียนด้วยตนเองได้ เชื่อว่าจะมีการยื่นขอลงทะเบียนเพิ่มอีกจำนวนมาก