คดีไล่จับ ธัมมชโย ที่หลบหนีข้อหาร่วมรับของโจรและฟอกเงิน ไปอยู่ในวัดพระธรรมกาย หากดูจากกระแสข่าวที่ปรากฏ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เหมือนจะถึงทางตัน ไม่สามารถนำตัวธัมมชโย มารับทราบข้อกล่าวหา ดำเนินคดีได้ จนต้องเข้าทางพระ ทำหนังสือเวียนถึงมหาเถรสมาคม และคณะผู้ปกครองสงฆ์ ต้นสังกัดวัดพระธรรมกายทุกระดับ ตั้งแต่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่พระสังฆราช ในฐานะประธานมหาเถรสมาคม ลงไปจนถึง เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
แจ้งให้ทราบว่า บัดนี้ ธัมมชโย ซึ่งอยู่ในความปกครอง ตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา ไม่ยอมมามอบตัว
พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ที่มีอำนาจหน้าที่ ปกครองคณะสงฆ์ เป็นผู้รอบรู้ในพระธรรมวินัย ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ควรจะทำอย่างไรในกรณีของธัมมชโย แต่จะทำหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะอาจมีเหตุปัจจัยหลายอย่างมาบังตา
ในอดีต ครั้งที่ธัมมชโย ตกเป็นจำเลยในคดียักยอกทรัพย์ เมื่อ 18 ปีที่แล้ว และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก มีพระลิขิตว่า ธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระแล้ว แต่ก็ได้รับการปกป้องจากพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมบางรูป เตะถ่วง ซื้อเวลา รอจนอัยการสูงสุดถอนฟ้องคดีทางโลก จึงสรุปว่า ธัมมชโยไม่ผิด คืนตำแหน่งเจ้าอาวาสพระธรรมกายให้ โดยอ้างว่า คดีทางโลกจบแล้ว
พระเถระผู้ใหญ่ หลายๆ รูปในครั้งนั้น บัดนี้ มีตำแหน่งในมหาเถรสมาคม มีสมณศักดิ์สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าอาวาสวัดพิชัยญาติการาม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ซึ่งเมื่อครั้งที่ ธัมมชโย ถูกกล่าวหาว่าละเมิดพระธรรมวินัย มีสมณศักดิ์ เป็น พระธรรมโมลี รักษาการเจ้าคณะภาค 1 ซึ่งวัดพระธรรมกายอยู่ในพื้นที่ปกครอง มีหน้าที่พิจารณาโทษ และลงนิคหกรรมธัมมชโย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร มีการเปิดศาลสงฆ์ ที่วัดสามพระยาเพื่อพิจารณาเรื่องนี้เพียงคั้รงเดียว
มิหนำซ้ำ ยังไปเป็นพยานให้การในศาลว่า ธัมมชโย ได้ปรับปรุงหลักคำสอนให้ถูกต้องตามพระไตรปิฎกแล้ว
อีกรูปหนึ่งคือ พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา เจ้าคณะภาค 15 และกรรมการมหาเถรสมาคม ซึ่งครั้งนั้น เป็นพระเทพสุธี รองเจ้าคณะภาค 1 ซึ่งปฏิสธไม่ยอมรับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะภาค 1 เพราะไม่ต้องการเป็นผู้สอบสวนธัมมชโย เจ้าคณะใหญ่หนกลางในตอนนั้นคือ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ จึงต้องแต่งตั้ง พระธรรมโมลีเป็นเจ้าคณะภาค 1 แทน
พระพรหมดิลก แสดงท่าทีสนับสนุนกิจกรรมของวัดพระธรรมกายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะโครงการธุดงค์ธรรมชัย และสรรเสริญคุณงามความดีของธัมมโยอย่างเปิดเผย
สำหรับตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 ปัจจุบันคือ พระราชสุทธิเวที(สายชล ฐานวูฒโท) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม ซึ่งมหาเถรสมาคม แต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะภาค 1 ในขณะที่มีอายุเพียง 45 ปี อายุพรรษา 25 ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม และถูกนินทาว่า ได้ตำแหน่งเพราะเป็นลูกศิษย์สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เป็นพระวัดชนะสงคราม เหมือนกัน
เมื่อดูว่าใครเป็นใคร ใน"ไลน์” สายการปกครองมหาเถรสมาคมที่ดูแล วัดพระธรรมกายแล้ว ฟันธงได้เลยว่า ดีเอสไอ ยากที่จะหวังพึ่งมหาเถรสมาคมจัดการกับธัมมชโยอย่างตรงไปตรงมา เพราะล้วนแต่เป็นคนหน้าเดิมที่เคยปกป้องธัมมชโยจากคดีสงฆ์เมื่อปี 2541 ทั้งสิ้น อีกทั้ง ประธานมหาเถรสมาคมคือ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ซึ่งชื่นชมในทานบารมีของธัมมชโยยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม ครั้งที่ธัมมชโยถูกดำเนินคดีข้อหายักยอกทรัพย์เมื่อปี 2541นั้น ยังไม่มีกฎหมายฟอกเงิน พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประกาศใช้เมื่อต้นปี 2542
ภายใต้กฎหมายฟอกเงิน เจ้าพนักงานมีอำนาจตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ต้องหาว่าทำความผิดในคดีที่เป็นฐานความผิด เช่น ฉ้อโกง รับของโจร ค้ายาเสพติด ฯลฯ และมีอำนาจอายัดทรัพย์สินที่สงสัยว่า จะเกี่ยวข้องกับ การกระทำความผิดดังกล่าว เป็นเวลาไม่เกิน 90 วัน
เจ้าของทรัพย์ที่ถูกอายัด มีหน้าที่ชี้แจงต่อเข้าพนักงาน หรือ ฟ้องร้องต่อศาล พิสูจน์ความถุกต้องในการได้มาซึ่งทรัพย์สินนั้น
คนที่อยู่ในเครือข่ายเส้นทางการเงินของธัมมชโย ทั้งผู้รับและผู้ให้ ทั้งพระและฆราวาส มีโอกาสที่จะถูกเรียกตัวไปให้ปากคำว่า เงินนี้ท่านใดแต่ใดมา
ดีเอสไอไม่ได้ถึงทางตัน แต่กำลังดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน เปิดไพ่ทีละใบ ทำเรื่องที่ต้องทำให้ครบถ้วนตามกฎหมาย ดำเนินมาตรการจากเบาไปหาหนัก เพื่อเอาตัวธัมมชโยมาดำเนินคดีให้ได้