มท.1 ยันเปลี่ยนชื่อมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ไม่เกี่ยวมหาดไทย ติงไม่ควรวิจารณ์เพราะยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ รับ มท.2 รายงานปากเปล่ามีคนในสังกัดมหาดไทยส่อทุจริตล็อต 3 บอกถ้าชี้มูลความผิดมาแล้วก็ต้องดำเนินการทันที เชื่อแจกปฏิทินรูป “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” มีนัยทางการเมือง - แนะสร้างวินัยจราจร ลดอุบัติเหตุได้ผลสุด
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุม ครม.ถึงการเปลี่ยนชื่อมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ เป็นมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการว่า หากจะมีเสนอเปลี่ยนก็เป็นทางมูลนิธิเสนอขอเปลี่ยน ไม่ใช่กระทรวงมหาดไทยขอเปลี่ยน และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนจึงไม่เหมาะสมที่จะพูดเพราะยังไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ไม่ควรไปวิพากษ์วิจารณ์
ส่วนสาเหตุของการเปลี่ยนชื่อเกี่ยวข้องกับผลการผลการตรวจสอบการดำเนินการโครงการราชภักดิ์หรือไม่นั้น พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ไม่ทราบและไปตอบอย่างนั้นคงไม่ได้ แต่ไม่น่าจะโยงกันได้
พล.อ.อนุพงษ์กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าได้ส่งราชชื่อข้าราชการท้องถิ่นที่อยู่ในบัญชีข้าราชการทุจริตชุดที่ 3 ให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงไปดำเนินการว่า เรื่องนี้ทางนายสุธี มากบุญ รมช.มหาดไทย ได้ไปรับรายชื่อมาแล้ว และรายงานตนด้วยวาจาแต่ยังไม่เห็นหนังสือดังกล่าว โดยมีรายชื่อในระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นท้องถิ่น (อปท.) แต่จำไม่ได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ ส่วนจะดำเนินการลงโทษอย่างไรนั้นจะทำให้เร็วที่สุดตามขั้นตอนกฎหมาย โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนการทำหน้าที่ตามลำดับเพื่อหาข้อเท็จจริงต่อไป ส่วนใดที่มีการสอบสวนและชี้มูลมาแล้วว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตก็ลงโทษได้ทันที แต่อาจจะมีที่ล่าช้าในกรณีที่ไปเกี่ยวข้องกับหลายคนที่ต้องตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อให้ความยุติธรรมกับผู้ถูกกล่าวว่า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มาตรการของรัฐบาลได้เร่งรัดลงโทษผู้ที่มีมูลเกี่ยวข้องกับการทุจริต โดยไม่ต้องรอให้สอบสวนเสร็จ ซึ่งบัญชี 1-2 ที่ผ่านมาก็ดำเนินการในลักษณะเดียวกันนี้ โดยให้โยกไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่ ส่วนครั้งที่ 3 ต้องรอดูจากรายชื่อที่ส่งมาก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า กระทรวงมหาดไทยตั้งเป้าลดปัญหาการทุจริตในปี 2559 นี้อย่างไรบ้าง รมว.มหาดไทยกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายเรื่องการปราบปรามทุจริต ไม่มีเลือกว่าเป็นปีเก่าหรือปีใหม่ แต่ต้องไม่ให้มีเกิดขึ้นถ้ามีเกิดมาเก่าก็ดำเนินการไป ส่วนของใหม่ก็ทำความเข้าใจและสร้างค่านิยมไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยกระทรวงต้องกำกับดูแลให้มากขึ้น ในส่วนของ อบต.7,000 กว่าแห่ง เทศบาลต่างๆ ซึ่งอาจจะมีคนทำผิดได้ ดังนั้น ผู้ว่าฯ นายอำเภอก็ต้องช่วยดูแลเต็มที่ ไม่ปล่อยวางหรือนิ่งเฉย และอยากให้สังคมเข้าใจว่าเราไม่ได้ปล่อยวาง ยิ่งตรวจเจอแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ปล่อยวาง แต่ถ้าตรวจไม่เจอจะยิ่งน่าสงสัย
ส่วนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งงดแจกปฏิทินรูปคู่ของนายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายากรัฐมนตรี ที่อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำมาแจกให้กับประชาชน ที่มารอต้อนรับน.ส.ยิ่งลักษณ์และคณะในระหว่างการลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา เกรงว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นหรือไม่นั้น พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ไม่มี เขาทำไปตามวิจารณญาณว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอย่างไร ตนขอเรียนว่าอยากให้สังคมจะเป็นผู้พิจารณาเจตนาเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ หากไม่เกี่ยวก็ไม่เป็นไร แต่คนที่สั่งดูแล้วเห็นว่าน่าจะเกี่ยวกับการเมือง และความเห็นส่วนตัวมองว่าการแจกปฏิทินทำได้ แต่ถ้าต้องการให้เกิดคุณประโยชน์กับผู้รับไม่จำเป็นต้องใส่รูปก็ได้ เพราะตนก็ไม่ค่อยเห็นใครเอารูปส่วนตัวไปใส่ปฏิทินแจก และตนไม่ได้ไปมองในแง่การเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในช่วงเวลานี้เรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับการเมือง แสดงว่าจะห้ามเด็ดขาดใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า รัฐบาลต้องการให้สถานการณ์ทางการเมืองนิ่ง เพราะบ้านเมืองมีความขัดแย้งกันมากพอควร และรัฐบาลไม่ใช่คู่ขัดแย้ง แต่ถ้าใครจะทำให้เกิดกลุ่มคนมามีปัญหาทำให้ขัดแย้งกันอีกไม่ว่าเรื่องใด ก็ต้องมีมาตรการที่จะต้องทำไม่ให้เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้น
รมว.มหาดไทยยังกล่าวถึงตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ในช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติมีมาตรการดำเนินการจำนวนมาก ตั้งแต่การบังคับใช้กฎหมาย การใช้ถนนใช้รถ และผู้ใช้รถใช้ถนน เช่น ไม่ให้ดื่มสุราและไม่ขับรถเร็ว มีที่พัก การดูแลด้านต่างๆ ฯลฯ ซึ่งมาตรการใดก็แล้วแต่ส่งผลเพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งคือการสร้างวินัยในการใช้รถใช้ถนน ถ้าทุกคนไม่มีวัฒนธรรมแล้วไปนั่งจับกุมกันอยู่นั้น อยากให้สังคมและสื่อช่วยกันรณรงค์สร้างกระแสให้คนใช้รถใช้ถนนอย่างมีวินัยและวัฒนธรรม เคารพกฎจราจร ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ต้องจับมาก และสถิติตัวเลขจะลดลง อย่างไรก็ตามจะมีการสรุปมาตรการบังคับใช้จะนำมาวิเคราะห์เป็นพื้นที่เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาต่อไป