เมืองไทย 360 องศา
เรียกว่าช็อตฝ่อลงไปดื้อ ๆ กับกรณีปมการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ของกองทัพบกที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยเฉพาะในเรื่อง “ค่าหัวคิว” ที่ยังไม่เคลียร์ เพราะยังไม่มีการเปิดเผยและตรวจสอบให้กระจ่าง มีแต่คำยืนยันว่า “บริสุทธิ์ โปร่งใส” จากปากระดับบิ๊ก ๆ ตั้งแต่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานอุทยานราชภักดิ์ดำเนินการก่อสร้าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน
ทุกคนต่างยืนยันแค่ว่าถูกต้องโปร่งใส ไม่มีเรื่องทุจริต และจากปากของ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ที่ตั้งคณะกรรมการตรวจนับเงินเหลือในบัญชีประมาณ 33 ล้านบาท ส่วนบัญชีรับจ่ายไม่เปิดเผย เพียงแต่ยืนยันไม่มีทุจริต และประกาศห้ามหน่วยงานจากภายนอกไม่ว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)เข้ามาตรวจสอบ โดยย้ำว่าเป็นเรื่องภายในของกองทัพบก
อย่างไรก็ดี ทุกอย่างกำลังเดินหน้าไปด้วย “ความหวาดเสียว” มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช กล่าวว่า “เรื่องค่าหัวคิว” ให้ไปถาม พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร และตัวเขาก็ดูแลเฉพาะงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกองทัพบกเท่านั้น
จะว่าไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา กระแสกดดันได้พุ่งมาที่ พล.อ.อุดมเดช เป็นหลัก หลังจากมีนายทหารที่เรียกว่า “คนสนิท” ถูกออกหมายจับในคดีที่เกี่ยวกับความผิดตามมาตรา 112 คือ พ.อ.คชาชาต บุญดี และล่าสุดคือ พล.ต.สุชาติ พรมใหม่ โดยทั้งคู่ยังไม่เข้ามามอบตัว โดยเฉพาะคนแรกคือ พ.อ.คชาชาต นั้น พล.อ.อุดมเดช ยอมรับว่า เป็นคนไป “เคลียร์เรื่องค่าหัวคิว” กับโรงหล่อพระบรมรูปโดยนำเงินส่วนต่างดังกล่าวเข้าไปสมทบในเงินบริจาคเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าจากเรื่องดังกล่าวแรงกดดันจะพุ่งไปที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร มากที่สุด แต่ในภาพรวม ๆ ถือว่า “โดน” กันไปไม่น้อย ในลักษณะที่ว่าถูกสังคมสงสัยว่า “ปกป้องช่วยเหลือพวกเดียวกัน” ในความหมายเขตทหารห้ามเข้า” ทำให้ “กองเชียร์” เสียความรู้สึกไปพอสมควร
นี่ต้องพูดกันแบบตรงไปตรงมา และเชื่อว่า มาจนถึงนาทีนี้พวกเขาซึ่งก็คือทั้งรัฐบาล และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติก็เริ่มรับรู้ถึงอารมณ์ดังกล่าวแล้ว จึงมีการขยับเปิดทางให้หน่วยงานตรวจสอบจากภายนอก รวมไปถึงคำสั่งย้ำตามมาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้กระทรวงกลาโหมอำนวยความสะดวกกับทุกหน่วยงานราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบอีกด้วย
อย่างไรก็ดี จู่ ๆ ก็เกิดสถานการณ์พลิกผัน “อารมณ์เปลี่ยน” ไปอีกแบบไปเลย หลังจากที่ จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สองแกนนำ นปช. หรือคนเสื้อแดง ออกโรงขอตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลของการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ และกล่าวหารุนแรงว่ามีการ “ทุจริต” เกิดขึ้น จากนั้นก็ประกาศว่าจะต้องลงพื้นที่เพื่อไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา แต่เมื่อพิจารณากันแบบรู้ทันก็ต้องบอกว่า นี่คือ แผน “ยั่วให้จับ” เป็นการสร้างกระแสมวลชนให้ลุกฮือเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาถูกรวบตัว แต่อีกด้านหนึ่งกลับคาดไม่ถึงว่าแม้จะเป็นแผนที่ใช้ได้ แต่กลายเป็น “คนแสดงไม่ดี” ไม่มีเครดิต ไม่มีความน่าเชื่อถือและที่สำคัญบ้านมองออกว่า “มีวาระซ่อนเร้น” เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องทุจริตโครงการรับจำนำข้าวที่ “ลูกพี่” ตัวเองกำลังโดนคดีเสี่ยงคุกเสี่ยงถูกยึดทรัพย์ในเวลานี้
ขณะเดียวกัน ฝ่ายความมั่นคงก็รู้ทัน รู้จักผ่อนเกม ใช้วิธีจัดการแบบ “ทูอินวัน” พร้อมกันในคราเดียว นั่นคือ บุกเข้าจับกุมแบบเด็ดขาด หิ้วตัวกันคาตลาดมหาชัยเมืองใหม่ สมุทรสาคร ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ปลุกปั่น นำไปควบคุมตัวในค่ายทหารแบบมิดชิดทำให้หวาดเสียว แต่หลังจากนั้นเมื่อมีการซักซ้อมทบทวนคำสัญญาและลงนามรับรองกันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วก็ปล่อยตัวโดยนำตัวไปส่งถึงบ้าน “กลางดึก” เจอบรรยากาศแบบนี้เป็นใครก็ต้อง “เสียว” เป็นธรรมดา แต่ถึงอย่างไรควาหมายก็คือ “ปล่อยตัว” ออกมา ปิดเงื่อนไขลงได้อย่างทันควัน ก็ถือว่าเหนือความคาดหมายไม่น้อย นึกว่าจะนำไปเลี้ยงข้าวสักสี่ห้าวันเสียอีก
สำหรับสาเหตุที่ประเมินกันว่าทำให้ “อารมณ์เปลี่ยน” ไปอีกแบบก็น่าจะมาจาก “สองเกลอ” คือ จตุพร - ณัฐวุฒิ ที่ไม่มีเครดิต สังคมส่วนใหญ่ไม่ให้ความเชื่อถือ นอกเหนือจากบรรดาคนเสื้อแดงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น และที่สำคัญก็คือชาวบ้านเขารู้ทัน ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจากบรรยากาศในตอนนี้ก็ยัง “ไม่สุกงอม” พอ ดังนั้น หากการเคลื่อนไหวเป็นคนอื่น กลุ่มอื่นที่ไม่ใช่จากพรรคเพื่อไทย และเครือข่ายมันก็น่าห่วงเหมือนกัน แต่เมื่อออกมาอย่างที่เห็นก็ทำให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รู้สึกโล่งอกไปได้บ้าง ถึงกับประกาศว่า “ไม่ลาออก” เพราะทุกอย่างโปร่งใส
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องจับตากันต่อไปก็คือจะเกิด “อาฟเตอร์ช็อก” ตามมาอีกหรือไม่ เพราะมีการพูดว่า “มีบางคนบางกลุ่มนั่งยิ้มอยู่ก็ได้เหมือนกับยิงนกได้หลายตัว” แต่เมื่อถามย้ำว่า ที่นั่งยิ้มนั้นเป็นกลุ่มการเมืองหรือทหาร พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ไม่ตอบตรง ๆ แต่บอกว่าให้ไปวิเคราะห์กันเอง มันน่าคิดเหมือนกันนะ เพราะหากจำกันได้ก่อนหน้านี้เขาก็เคยออกมาพูดแบบจงใจตั้งข้อสังเกตว่า “ทำไมถึงได้มีการขุดคุ้ยเอาในช่วงนี้ เพียงแต่ว่าตอนนั้นยังไม่มีการจับประเด็นดังกล่าวมาขยายผลเท่านั้นเอง !!”