ประชุม สนช.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ ชี้นำทรัพย์สินทางปัญญามาเป็นหลักประกันได้เป็นประโยชน์ผู้ประกอบการ มอบกรมทรัพย์สินทางปัญญาดูแนวทางประเมินมูลค่า ก่อนมีมติเห็นชอบ
วันนี้ (7 ส.ค.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาร่าง พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจซึ่งมีประเด็นสำคัญคือกำหนดให้ทรัพย์สินที่สามารถใช้เป็นหลักประกันเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ประกอบด้วย 1. กิจการ 2. สิทธิเรียกร้อง 3. สังหาริมทรัพย์ที่ผู้ใช้หลักประกันใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น เครื่องจักร สินค้าคงคลัง หรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า 4. อสังหาริมทรัพย์ในกรณีที่ผู้ให้หลักประกันประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง 5. ทรัพย์สินทางปัญญา และ 6. ทรัพย์สินอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง จากเดิมที่กำหนดเฉพาะอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ที่มีทะเบียนบางประเภทเท่านั้น
ขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้มีข้อสังเกตว่า การนำทรัพย์สินทางปัญญามาเป็นหลักประกันทางธุรกิจนั้นจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้ประกอบการในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน แต่เนื่องจากทรัพย์สินทางปัญญามีหลายประเภทซึ่งแต่ละประเภทก็มีมูลค่าทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน จึงเป็นการยากที่จะประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา ดังนั้น เพื่อให้การประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญามีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน และก่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรกที่ พ.ร.บ.นี้มีผลบังคับใช้แล้ว สมควรมอบหมายให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ กำหนดแนวทางการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญาเบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้แก่หน่วยงาน และองค์กรภาคเอกชนในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
จากนั้นที่ประชุมได้มีมติเสียงข้างมาก 167 เสียงต่อ 2 เสียง เห็นชอบให้ร่าง พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ ประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป