ผ่าประเด็นร้อน
“เรื่องปรับ ครม. นั้น วันนี้อย่าเพิ่งพูดถึง ทั้งรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ ก็จะลาออกกันหมดแล้ว เพราะมีภาระเยอะ เหนื่อย ไม่ต้องปรับเขาก็จะออกกันหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าจะต้องมั่นใจในตัวผมเพียงคนเดียวต้องเชื่อมั่นในผม และ ครม. ด้วย"
นั่นเป็นคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการเปิดงานสัมมนาระดับชาติ เรื่องแนวทางการพัฒนาธุรกิจไทยอย่างยั่งยืนฯ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม โดยกล่าวถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีขึ้นมาด้วย
ขณะเดียวกัน เมื่อเสร็จสิ้นการกล่าวเปิดงาน และเดินทางกลับทำเนียบรัฐบาล เขาก็ถูกผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องเดียวกันอีกครั้งเกี่ยวกับกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อเสริมทัพด้านเศรษฐกิจให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยกล่าวว่า สื่อไปเขียนกันเองทั้งนั้น
เมื่อถามย้ำว่า ตกลงไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรีตามที่เป็นข่าวใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวทันทีว่า “ไม่รู้”
คำพูดดังกล่าวข้างต้นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นการประมวลนำมาแสดงให้เห็นแบบคำต่อคำ ซึ่งพอสรุปรวมได้ว่า “ไม่ปฏิเสธ” อย่างสิ้นเชิง เหมือนในช่วงปลายปีต่อเนื่องมาจนถึงต้นปีนี้ รวมไปถึงในช่วงที่รัฐบาลของเขาบริหารมาครบเวลา 6 เดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งครั้งนั้นปฏิเสธกันอย่างชัดเจน รวมทั้งกรณีที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่เปิดทางให้นักการเมืองที่เคยถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองสามารถเป็นรัฐมนตรีได้ ซึ่งก็มีการคาดการณ์กันว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีโดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลานี้ สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจทั้งภายนอกภายในเริ่มรุมเร้าเข้ามาทุกทาง ทั้งปัญหาที่นอกเหนือการควบคุม หรือควบคุมยากจากภายนอกนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับภายในที่เกี่ยวข้องกับเรื่องปากท้อง ต้องยอมรับความจริงกันว่าในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา และจนถึงวันนี้มีเสียงบ่นจากชาวบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นค่อนข้างตรงกันว่ารัฐมนตรีแทบทั้งหมด “ไม่มีผลงาน” แก้ปัญหาไม่ทันใจ ไม่สมกับรัฐมนตรีในยุคปฏิรูป ทำงานล่าช้าอืดอาดไม่ต่างจากการทำงานในระบบราชการ
ทำให้เรื่อง “ปากท้อง” ของแพง รายได้หด และแน่นอนว่าต้องตามมาเป็นสูตรสำเร็จ ก็คือ เรื่องปัญหาหนี้สิน แม้ว่าหลายเรื่องมาจากโครงการประชานิยมที่ไร้ความรับผิดชอบก่อปัญหาใหญ่หลวงให้ตามแก้ไขไม่ตก เช่น นโยบายค่าแรงวันละ 300 บาททั่วประเทศ ที่แม้สร้างความชื่นชอบให้กับผู้ใช้แรงงาน แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับความจริงเช่นเดียวกันว่าได้สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากที่ต้องล้มไป รวมไปถึงการเสียโอกาสการแข่งขันกันประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ต้นทุนสูงเมื่อเทียบกับรายสินค้าที่ส่งออกไปต่างประเทศ
แม้ว่าจะมาจากหลายสาเหตุ แต่ก็พบว่าเวลานี้มีนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ ต่างเริ่มย้ายฐานการลงทุนออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีต้นทุนต่ำกว่า ขณะที่ไทยต้องหันมาเน้นการลงทุนที่ฝีมือ และทักษะมากขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่า แต่นั่นก็ต้องใช้เวลา
วกกลับมาที่เรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ที่เวลานี้เข้าขั้น “หนัก” ขึ้นทุกที ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมหมาย ภาษี เพิ่งออกมายอมรับเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ว่า ในช่วงครึ่งปีหลังอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะแย่กว่าครึ่งปีแรก ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงว่าทั้งปีจีดีพีจะโตไม่ถึงร้อยละ 3
ขณะเดียวกัน เมื่อหันมาพิจารณาท่าทีล่าสุดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ “ไม่ปฏิเสธ” เรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี แม้จะกล่าวว่าไม่ควรพูดถึงเรื่องดังกล่าว และกล่าวว่า มีรัฐมนตรีหลายคนบ่นอยากลาออก เนื่องจากทำงานหนักและเหนื่อย และเมื่อถูกถามว่าจะปรับหรือเปล่า เขาก็ตอบว่า “ไม่รู้” ซึ่งความหมายย่อมต่างจากคำว่า “ไม่ปรับ” อย่างแน่นอน
ดังนั้น ถ้าถามความรู้สึกของชาวบ้านที่สะท้อนจากผลสำรวจที่ออกมาตรงกัน ก็คือ เสียงบ่นเรื่องปัญหาปากท้องดังขึ้นเรื่อย ๆ นั่นก็ย่อมเป็นตัวชี้ทางหนึ่งถึงผลงานของทีมเศรษฐกิจที่นำโดย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจได้ดี รวมไปถึงอีกหลายกระทรวงที่ไม่มีผลงานด้วย ขณะเดียวกัน น่าจะยืนยันได้ว่าหากมีการปรับคณะรัฐมนตรีคราวนี้ หากเกิดขึ้นก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริต แต่เพื่อความเหมาะสมเรื่องคนกับงาน ปรับเพื่อความกระฉับกระเฉงมากขึ้นหลังจากผ่านมา 7 - 8 เดือนแล้ว !!