ผ่าประเด็นร้อน
งงกันไปตามๆ กันกับคำพูดแบบ “ทะลุกลางปล้อง” ขึ้นมาของ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 คนนี้ ที่ระบุว่า มีสองพรรคใหญ่ร่วมกันลงขันล้มรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเริ่มจากการที่มีกลุ่มการเมืองก่อเหตุป่วนสถานการณ์ชายแดนใต้เริ่มดีเดย์ตั้งแต่วันที่ 15-17 กรกฎาคม เป็นต้นไป จากนั้นก็ระดมมวลชนให้ได้นับล้านคนออกมาเพื่อล้มรัฐบาล ในโอกาสต่อไป
ถ่ายทอดคำพูดออกมาอาจจะไม่ใช่คำต่อคำ แต่ความหมายที่สื่อออกมาแบบนี้ แน่นอนว่า ย่อมต้องเกิดคำถามตามมาว่าเกิดอะไรขึ้น มันเป็นจริงอย่างนั้นหรือ เพราะถ้าเกิดขึ้นจริงมันต้องเป็นเรื่องใหญ่ในแบบ “พิสดาร” สองชั้นเลยก็ว่าได้ อย่างแรกก็คือ การจับมือเป็นพันธมิตรเฉพาะกิจของสองขั้วการเมืองที่อยู่ตรงกันข้ามกันมา สองหากสองพรรคการเมืองใหญ่ดังกล่าวสามารถระดมมวลชนออกมาล้มรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามที่อ้างแบบนั้นจริง นั่นก็แสดงว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็อยู่ลำบากและเตรียมนับถอยหลังได้เลย
อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริงแล้วมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย หากพิจารณาเฉพาะประเด็นมวลชนนับล้านจับมือกันโค่น แต่หากเป็นจำนวนนับสิบนับร้อยคนแบบนี้ยังพอเป็นไปได้บ้าง ดังนั้น นาทีนี้ถ้าให้สรุปแบบไม่ต้องให้ราคาก็ต้องบอกว่า “เป็นการพูดเพื่อจงใจหวังผลบางอย่าง” เท่านั้น
ก่อนหน้านี้ หากจำกันได้บ้าง พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร คนเดียวกันนี้ เคยออกมาปูดข่าวกรณีนักศึกษากลุ่มดาวดิน หรือที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ที่กำลังเคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อนหน้านี้ ว่า มีข้อมูลว่านักศึกษาบางคนมีการติดต่อกับกลุ่มองค์กรต่างประเทศก่อนมาเคลื่อนไหว ซึ่งข้อมูลดังกล่าวแบบนั้นถือว่าย่อมเกิดขึ้นได้ และมีความเป็นไปได้ ส่วนจะเป็นการพบกันแบบไหน และมีแรงจูงใจเกี่ยวข้องกันหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งในคราวนั้นก็ได้รับความสนใจพอสมควรสำหรับข้อมูลด้านความมั่นคง
แต่สำหรับคราวนี้น่าจะแตกต่างกันแบบสิ้นเชิง ในความเป็นไปได้แทบจะไม่น่าเกิดขึ้นได้เลย ดังนั้นคำถามที่ต้องตามมาก็คือ มี “เจตนาอะไร” หรือว่านี่คือ การ “เบี่ยงเบนความสนใจ” หลังจากที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังเจอปัญหาในหลายเรื่องที่รุมเร้าเข้ามาพร้อม ๆ กัน ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาภัยแล้ง เป็นต้น ให้เบนเป้าหมายมาที่ตัวเอง รวมไปถึงให้สังคมหันมาวิพากษ์วิจารณ์กันในกรณีสองพรรคใหญ่จับมือเป็นพันธมิตรกันชั่วคราว
สิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือ แบ็กกราวนด์ของ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 คนนี้ยังเป็นอดีตนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกด้วย และแน่นอนว่าการเข้ามานั่งเก้าอี้เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในเวลานี้ย่อมต้องมีเส้นสายเกี่ยวพันกันมาบ้าง ดังนั้น เมื่อเขาพูดในเรื่องที่อ้างอิงรายงานข่าวก็คงคิดว่าน่าจะมีใครสนใจเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี สำหรับคำถามที่ว่า “ได้คุ้มเสีย” หรือไม่ น่าจะเป็นไปอีกแบบหนึ่ง เพราะสิ่งที่เห็นก็คือทั้งสองพรรคใหญ่คือพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ที่คาบเกี่ยวกับมวลชนเสื้อแดง และ กปปส. ต่างออกมาตอบโต้อย่างทันควันทำนองว่าเป็นคำพูดที่ไร้สาระ และมีเจตนาทำลายพรรคการเมืองมากลบเกลื่อนความล้มเหลวของตัวเองเท่านั้น ขณะเดียวกัน นี่ยังเป็นเจตนาของการเสพติดตำแหน่งและอำนาจอีกด้วย
กลายเป็นว่าคำพูดของ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร ยังมีแนวโน้มที่จะสร้างความหมางเมินให้กับมวลชนที่เคยสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงไปไม่น้อย โดยเฉพาะมวลชนจากกลุ่ม กปปส. ในสายภาคใต้ เห็นได้จากปฏิกิริยา จาก ถาวร เสนเนียม รวมไปถึง นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยเคลื่อนไหวร่วมกับมวลชนดังกล่าว
ดังนั้น การกล่าวหาว่ามีพรรคการเมืองเคลื่อนไหวเพื่อก่อกวนชายแดนใต้ ย่อมส่งผลโดยตรง โดยเฉพาะบรรดาแกนนำ กปปส. ที่คาบเกี่ยวกันกับพรรคประชาธิปัตย์ ย่อมต้องเกิด “ความรู้สึก” กันทั้งในระดับมวลชนและในระดับแกนนำแน่นอน และที่ผ่านมา ก็ได้รับการขอร้องให้อดทนมาตลอดจากหลายปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคายางพาราตกต่ำ เรื่องปากท้อง ดังนั้น งานนี้ถือว่า “ไม่คุ้มเสีย” จริงๆ!!