รองโฆษกรัฐบาลเผยคดี 14 นักศึกษาอยู่ภายใต้อำนาจศาลสถิตยุติธรรม ฝ่ายบริหารก้าวล่วงมิได้ ชี้ทุกคนมีสิทธิ์ขอประกันตัวตามกฎหมาย เชื่อหลายคนอยากประกัน แต่มีคนบางพวกโหมกระแสเพื่อกดดันให้นักศึกษาอยู่ในเรือนจำต่อ ระบุนายกฯห่วงปัญหาภัยแล้ง สั่งทุกหน่วยงานเกาะติดสถานการณ์ใกล้ชิด
วันนี้ (6 ก.ค.) พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีนักศึกษาทั้ง 14 คน ที่เคลื่อนไหวก่อความไม่สงบและละเมิดกฎหมาย ว่า ขณะนี้กระบวนการทุกอย่างอยู่ภายใต้อำนาจศาลสถิตยุติธรรม ฝ่ายบริหารจะก้าวล่วงมิได้ ดังนั้น จึงไม่เกิดประโยชน์อันใดในการมาเรียกร้องการปฏิบัติจากรัฐบาล หรือหน่วยงานใดๆ เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และรัฐบาลนี้ยืนยันที่จะทำให้กฎหมายคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์และเป็นธรรม
“คงต้องแยกระหว่าง เจตนา กับการกระทำ เชื่อว่า นักศึกษาอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำไปตามประสบการณ์ ความคิดของตัวเอง แต่เลือกวิธีการที่ผิดกฎหมาย ก็ต้องรับผลของการกระทำนั้น
สิ่งที่สามารถดำเนินการได้ในขณะนี้ คือ การขอประกันตัวตามหลักเกณฑ์การต่อสู้คดี ซึ่งหากนักศึกษายอมเปิดใจรับฟังข้อเท็จจริงของปัญหาบ้านเมืองเข้าใจสถานการณ์ของประเทศ และตระหนักในผลกระทบที่ตนเองได้กระทำลงไป เชื่อว่าศาลท่านอาจมีเมตตา”
พลตรี สรรเสริญ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลที่ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่ได้พบปะพูดคุยกับนักศึกษา พบว่า นักศึกษาหลายคนในกลุ่มนี้ ซึ่งขณะนี้ถูกดูแลแยกกันคนละพื้นที่ ต้องการขอประกันตัว และอยากกลับภูมิลำเนาและเตรียมตัวศึกษาต่อ ซึ่งเดือนหน้าก็จะเปิดเทอมปีการศึกษาใหม่แล้ว แต่ที่ยังไม่ดำเนินการประกันตัวให้เรียบร้อย เพราะติดด้วยการโหมกระแสจากกลุ่มบุคคลบางพวกที่ต้องการใช้นักศึกษาเป็นเครื่องมือให้นักศึกษาอยู่ในเรือนจำต่อไป เพื่อหวังผลทางในการสร้างสถานการณ์ให้ยืดเยื้อ
“ในฐานะผู้ใหญ่ เราทุกคนจึงควรต้องแสดงความมีเมตตาต่อเด็ก ดังนั้น การกระทำใด ๆ ที่จะเป็นผลสร้างกระแส หรือกดดันจากตัดสินใจของนักศึกษาแต่ละคน ขอให้ยุติเสีย เพราะจะยิ่งเป็นการทำร้ายนักศึกษาทั้ง 14 คน และซ้ำเติมสถานการณ์ซึ่งไม่เป็นผลดีกับนักศึกษาและบ้านเมืองส่วนรวมเลย”
ส่วนเรื่องภัยแล้ง พลตรี สรรเสริญ กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งทุกหน่วยงานเกาะติดสถานการณ์ภัยแล้งใกล้ชิด พร้อมให้กรมชลประทานรายงานข้อมูลน้ำไหลเข้าเขื่อน และระบายออกเพื่อการอุปโภคบริโภค และดูแลพี่น้องเกษตรกรเป็นรายวัน เพื่อให้การประเมินสถานการณ์มีความถูกต้องและชัดเจนที่สุด
“การทำฝนเทียมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลาง ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ มีฝนตกมากกว่า 90% ของเที่ยวบินที่ขึ้นปฏิบัติการ แต่ปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนยังไม่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป
ขณะนี้ท่านนายกฯเป็นห่วงพี่น้องเกษตรกรภาคอีสานเป็นพิเศษ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นพื้นที่นอกเขตชลประทาน ต้องอาศัยแหล่งน้ำธรรมชาติ หากฝนทิ้งช่วงนาน จะเป็นอุปสรรคต่อการทำการเกษตรได้ ที่ผ่านมาท่านนายกสั่งการให้หน่วยฝนหลวงออกปฏิบัติการทำฝนเทียมในพื้นที่ภาคอีสานแล้ว มากกว่า 200 เที่ยวบิน แต่ด้วยเหตุลมค่อนข้างแรงทำให้สารเคมีที่โปรยออกไปไม่จับกลุ่ม รวมมั้งปริมาณเมฆยังมีไม่มาก ทำให้ปริมาณน้ำฝนไม่มากอย่างที่คาดหวัง
อย่างไรก็ตาม ขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เมื่อสภาพอากาศเป็นใจ ขอให้ออกปฏิบัติการฝนเทียมทันที เพื่อช่วยเหลือทุเลาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกร รวมทั้งกำชับให้หน่วยทหารเตรียมพร้อมเพื่อเคลื่อนที่เร็วในกรณีต้องนำรถบรรทุกน้ำเข้าไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่แล้งขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค”