xs
xsm
sm
md
lg

สร้างข่าวลือ กระพือข่าวเท็จ เกมร้ายลึกป่วน“รัฐบาลบิ๊กตู่”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง


ป้อมพระสุเมรุ

ฝ่ายตรงข้ามกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีศัตรูทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ตลอดจนมีวิธีการต่อสู้ที่หลากหลายรูปแบบ ตามสัญญาณก่อนหน้านี้ที่ “เหลี่ยมมอนเตฯ” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนท่าทีจากรอมชอมทหาร มาเป็นเปิดฉากใส่

ตามคิวที่ “รัฐบาลลายพราง” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ต้องรับมือกับลูกไม้ต่างๆ ที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามประเคนเข้าใส่ ซึ่งจะมีการต่อสู้ในลักษณะนี้ไปตลอด จนถึงวันที่ คสช. รูดม่านลาโรง เพราะตราบใดที่ “บิ๊กตู่” ที่อยู่หัวแถวของอำนาจ แผนการของฝ่ายตรงข้ามยากจะสำเร็จ

โดยเฉพาะ “เหลี่ยมมอนเตฯ” ที่แทบจะปิดประตูตายกลับประเทศไทยอย่างเท่ๆ ไปได้เลย หากนายกรัฐมนตรียังชื่อ

“ประยุทธ์ จันทร์โอชา”

การงัดง้างเพื่อเขย่าใส่ คสช. เกิดขึ้นเรื่อยๆ เป็นระยะๆ หากย้อนไปตั้งแต่มีการยึดอำนาจจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ตั้งแต่การใช้ปฏิบัติการ “โลกล้อมประเทศไทย” โดยยืมมือองค์กรระหว่างประเทศเข้ามากระทุ้งใส่เรื่องสิทธิเสรีภาพ และการบริหารงานของ “รัฐบาลขุนทหาร” โดยเฉพาะเรื่องการเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึก

และจนถึงปัจจุบันที่ยังใช้ยุทธวิธีเอาโลกภายนอก กดดันไทยอยู่ อย่างกรณี 14 นักศึกษาที่มีการดาหน้าออกแถลงการณ์บี้ คสช.ให้ยกเลิกการดำเนินคดีกับนักศึกษา โดยอ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพ - สิทธิมนุษยชน ตามคิวที่รัฐบาลต้องแก้เกมรับมือด้วยการรับฟัง และชี้แจงกันไป แต่ไม่ออกอาการตื่นตูมเท่าไหร่ เพราะรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังดี

กรณีนักศึกษาออกมาขับไล่เผด็จการหนนี้ก็เช่นกัน กำลังเป็นหมากในกระดานหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว หลักฐานหลายอย่างค่อนข้างชัดว่า เชื่อมโยงกับนักการเมืองกลุ่มอำนาจเก่า

แน่นอนไม่มีใครปฏิเสธว่า นักศึกษาบางคนที่ถูกจับกุม เป็นพวกที่เคลื่อนไหวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมาก่อน และบริสุทธิ์ใจในการออกมาเคลื่อนไหวจริงๆ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนั้น เพราะประวัติของเด็กบางคน เชื่อมโยงกับนักการเมืองของกลุ่มอำนาจเก่า

ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้พยายามจะลอกโมเดลของเหตุการณ์นักศึกษาขับไล่เผด็จการในอดีตเอาออกมาใช้ เพราะรู้ว่า “นักศึกษา” คือของแสลงของ “ทหาร” การเคลื่อนไหวของปัญญาชนจะได้รับความกริ่งเกรงจากท็อปบูต ไม่กล้าใช้ความรุนแรงอะไร แตกต่างจากม็อบการเมือง

การออกมาล่อเป้าให้ทหารจับ และใช้ความรุนแรงก็หวังว่า จะให้เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว แต่โชคดีที่ทหารยุคใหม่ก็รู้ทันเกมเก่าๆ สถานการณ์เลยไม่เป็นไปอย่างที่ “ไอ้โม่ง” เบื้องหลังอยากให้เกิด เพราะทหารพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะและการใช้ความรุนแรง

เกมนี้ผู้อยู่เบื้องหลัง หวังกับนักศึกษาไว้เยอะ เพราะตัวเองไม่สามารถออกมาต่อต้านอยู่เบื้องหน้าได้ เพราะจะทำให้การเคลื่อนไหวเสียเครดิต ขาดความน่าเชื่อถือ เลยต้องเป็น “อีแอบ” ยืมมือ “เด็ก” ช่วย ซึ่งนักศึกษาบางคนที่บริสุทธิ์ใจจริงๆ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า กำลังตกเป็นเบี้ยในกระดานของคนเหล่านี้

นอกจากการต่อสู้ข้างต้นแล้ว ในช่วงหลายปีมานี้จะพบว่า ยังมีอีกเกมหนึ่งที่มักจะใช้กันบ่อยคือ “การสร้างข่าวลือ กระพือข่าวเท็จ” เพื่อเขย่ากัน

อย่างก่อนข่าวจับกุมนักศึกษา จะเห็นว่า มีการปล่อยข่าวลือว่า จะมีการ “ปฏิวัติซ้อน” เพื่อสร้างความหวาดระแวง และเสี้ยมคนในรัฐบาลให้แตกแยกกัน โดยจุดเริ่มต้นมาจากโซเชียลมีเดีย และแชร์ต่อๆ กัน จนเป็นประเด็นโจษจันในสังคม แน่นอนว่า ข่าวดังกล่าวอ่อนไหว สร้างแรงกระเพื่อมในตลาดหุ้นได้มหาศาล เหมือนเป็นการซ้ำเติมรัฐบาลที่กำลังแย่จากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีอยู่แล้ว

จะเห็นว่า บุคคลสำคัญในรัฐบาลต้องออกมาชี้แจงเป็นการด่วน เพื่อดึงความเชื่อมั่นกลับมาให้เร็วที่สุด ก่อนจะลากตัว “ต้นตอ” ของข่าวลือออกมาดำเนินคดี ซึ่งเป็นไปในรูปการณ์ที่คาดเดาได้ตั้งแต่แรกว่า ผู้ต้องหามีรสนิยมที่ชื่นชมกลุ่มคนเสื้อแดง

แม้จะเป็น “ต้นตอ” จะเป็นจุดเล็กๆ ไม่ใช่ตัวละครสำคัญอะไรในทางการเมือง แต่เมื่อเริ่มมีการปล่อย ก็มีอีแร้งไปรุมทึ้ง ขยายข่าวดังกล่าวให้อึกทึกครึกโครม

และหากย้อนกลับไปก่อนหน้าข่าวปฏิวัติซ้อน จะเห็นว่า เคยมีกระบวนการปล่อยข่าวเพื่อหวังสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมมาแล้วเช่นเดียวกัน คือ มีการปล่อย “ข่าวอัปมงคล” ออกมาแชร์กันว่อนโลกโซเชียล มีเดีย จนทำให้ตลาดหุ้นไทยร่วงกระจุยกระจาย จน “รัฐบาลลายพราง” ต้องรีบออกมาชี้แจงกันพัลวัน เพื่อสื่อให้เห็นถึงว่า “ข่าวอัปมงคล” ที่ลือกันนั้นไม่เป็นความจริง และมาจากผู้ไม่หวังดี

กระทั่งมาเรื่องข่าวลือ เรื่องการรับสมัครงานของธนาคาร “ไทยพาณิชย์” ที่ออกมาว่า เป็นการกีดกันนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏ เพราะมีการแชร์เอกสารการจัดอันดับมหาวิทยาลัยในการเลือกรับเข้าสมัครงาน ซึ่งผลกระทบที่ตามมาทันทีคือ ภาพลักษณ์ของธนาคารแห่งนี้ ได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการดูถูกดูแคลน และเลือกปฏิบัติกับคน

พวกที่ “อ่อนไหว” บางคนถึงกับยกเลิกบัญชี เพื่อเป็นการตอบโต้ที่ธนาคารจัดอันดับแบบนี้ นอกจากนี้ ยังเกิดความรู้สึกไม่ดีในบุคลากร ครู อาจารย์ ศิษย์เก่า และศิษย์ปัจจุบัน ของมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ที่มีอยู่จำนวนมากต่อสถาบันทางการเงินแห่งนี้

ถือว่า โดนวิพากษ์วิจารณ์ไปอ่วมพอสมควร !!!

น่าสนใจอย่างมากว่า “ต้นตอ” ของเอกสารนี้ มาจากใครเป็นคนแรก และเอกสารดังกล่าวที่ถูกเผยแพร่ออกมาเป็นของจริงหรือไม่ หากไม่ใช่ของจริง “ต้นตอ” นั้น หวังผลอะไรกับข่าวนี้กันแน่

แน่นอนว่า กรณีหากเป็นเอกสาร “ของปลอม” เรื่องนี้จะกลายเป็นการ “ดิสเครดิต” ธนาคารไทยพาณิชย์เต็มๆ ซึ่งหากจะตีความว่า เป็นกรณี “คู่แข่ง” ยิ่งเป็นไปได้ยาก เพราะธนาคารไทยพาณิชย์ แตกต่างจากธนาคารอื่นๆ ของรัฐ หรือของเอกชน ที่สำคัญ มีความสำคัญกับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน และคนที่อยู่ในแวดวงจริงๆ จะรู้ว่า การปล่อยข่าวทำลายชื่อเสียงของธนาคารไทยพาณิชย์ แท้จริงแล้วต้องการกระทบชิ่งเพื่อจะทำร้าย หรือดิสเครดิตใคร หรือไม่

เป็นเรื่องที่ต้องตามหา “ต้นตอ” กันต่อไป

กระนั้นก็ตาม ในยุคที่โลกโซเชียลมีเดียนั้นไว ทุกคนแทบจะเข้าถึงได้ การแชร์ต่อๆ กันด้วยความรวดเร็ว จึงมักทำให้เกิดข่าวลือ ข่าวเท็จออกมาบ่อยๆ และกลายเป็น “ช่องทาง” หนึ่งของฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองไปแล้ว

ขนาดการประชุม ครม.นอกสถานที่อย่างเป็นทางการ หรือ “ครม.สัญจร” ที่เชียงใหม่ ที่ผ่านมาหยกๆ ซึ่ง “บิ๊กตู่” ได้ขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพก่อนเป็นที่แรก ยังมีการลือกันว่า เป็นการไปแก้เคล็ด หลัง “ศัตรู” ทางการเมืองขึ้นไปทำของ หรือพิธีกรรมก่อนหน้านี้

ดังนั้น นอกจากการตั้งรับฝ่ายการเมืองบนสถานการณ์จริงแล้ว ปัจจุบัน “รัฐบาลท็อปบูต” จึงยังต้องเตรียมการรับมือกับปฏิบัติการ “สร้างข่าวลือ กระพือข่าวเท็จ” ของฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย

และก็มีแนวโน้มที่ฝ่ายตรงข้ามจะทำการเขย่าในลักษณะนี้อีกเรื่อยๆ เพราะโซเชียลมีเดียเป็นการลงทุนที่น้อยและได้ผลมากที่สุด !!!
กำลังโหลดความคิดเห็น