เกาะกระแส
00 กลายเป็นเรื่องกลับตาลปัตร สิ่งที่ไม่คาดคาดว่าจะเกิดขึ้นได้ก็เกิดขึ้นได้ เหมือนอย่างในเวลานี้เราได้เห็น ผบ.ตร.ที่ชื่อ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง กำลังสนับสนุนให้"เปิดบ่อน"เกิดขึ้นในประเทศไทย น่าตกใจก็คือเขามี"สถานะเป็นตำรวจ" ที่โดยจิตสำนึกแล้วต้องทำหน้าที่ปราบปรามอบายมุขประเภทนี้ และที่ผ่านมาตำรวจก็ต้องทำหน้าที่ปราบปราม"บ่อนซ่อง"มาตลอด จนกระทั่งหนึ่งถึงสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะเพิ่งเปิดเผยทัศนคติที่น่าตกใจก่อนที่จะเกษียณฯเพียงไม่นานเท่านั้น
00 รับรู้กันไปทั่วแล้วว่า ในวงการตำรวจไม่ว่าพื้นที่ใดก็ตามหากมีการเปิดโปงหรือมีการจับกุมบ่อนการพนันขึ้นมาในพื้นที่ทั่วประเทศ ก็ต้องถึงคราวซวยของตำรวจในพื้นที่ทันทีนั่นคือ ต้องมีคำสั่งย้ายผู้กำกับ ระดับรองลงมากันกราวรูด ไม่ว่าจะเป็นการบุกเข้าจับกุมจากฝ่ายปกครอง ตำรวจหน่วยอื่น ทหารก็จะได้เห็นคำสั่งย้ายมาจาก ผบ.ตร.ในปัจจุบันก็คือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ตามมาทันที
00 แต่อนิจจามาวันนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้าม เพราะผู้นำสูงสุดของตำรวจที่เคยลงนามในคำสั่งย้ายตำรวจที่ทำหน้าที่ย่อหย่อนปล่อยให้มีอบายมุขประเภทบ่อนการพนันในพื้นที่กลับกลับพลิกเห็นดีเห็นงาม หันกลับมาสนับสนุนให้เปิดบ่อนเสียเอง ไม่ใช่แสดงท่าทีสนับสนุนด้วยคำพูดเท่านั้น มิหนำซ้ำยังเคลื่อนไหว"เป็นแกนนำ"ทำทุกทางเพื่อให้เปิดบ่อนขึ้นมาในประเทศนี้ให้ได้ แม้จะใช้คำว่าเปิดบ่อนถูกกฎหมาย หารายได้เข้ารัฐ มีผลดีมหาศาลตามมามากมายตามเหตุผลของผู้สนับสนุน แต่รับรองว่าคนที่สนับสนุนแบบออกตัว ไม่สมควรออกมาจากฝ่ายตำรวจที่เป็นผู้รักษากฎหมายเป็นอันขาด หากเป็นคนอื่นที่เป็นนักการเมือง ประชาชนทั่วไปก็ว่าไปอย่าง ซึ่งสามารถถกเถียงกันด้วยเหตุผลและหลักการทางจริยธรรม ความเหมาะสมกับสังคมไทย
00 ความเคลื่อนไหวที่เพิ่งแสดงออกมาให้เห็นของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ยิ่งแสดงท่าทีออกมาแบบสุดตัวเดินหน้าไปไกลประกาศกร้าวว่า "ไม่กลัวใครเพราะไม่ใช่พ่อ"มันก็ยิ่งสะท้อนอีกมุมหนึ่งให้เห็น"ตัวตน"ได้ชัดเจนขึ้นว่า คนประเภทนี้สามารถทำอะไรก็ได้ ทั้งก่อนและอนาคตหลังจากนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพราะที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นตัวตนมาจากกรณี "ถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร"ที่ทำได้แค่"ปาหี่" ท่าดีทีเหลว และคราวนี้เราก็จะได้เห็นตำรวจที่ผลักดันให้เปิดบ่อน ก็จะได้เห็นในยุคนี้แหละ !!
00 ในที่สุดเรื่องการปฏิวัติซ้อนก็ต้องค่อยๆเงียบๆลงไปโดยอัตโนมัติ เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันนี้มันไม่มีทางเกิดขึ้นได้ และคนที่ทำหากผิดไปจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มันก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ อีกทั้งทุกองค์ประกอบ เขาก็ยังมีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมสรรพ ไม่จำเป็นต้องออกเอ็กเซอร์ไซต์แบบนั้นให้ยุ่งยากวุ่นวาย ดังตัวอย่างที่เห็นเมื่อวานนี้(18มิ.ย.)ที่มีการแก้ไข รธน.ฉบับชั่วคราว ใน 7 ประเด็นหลักกับ สนช.ให้พิจารณาผ่านสามาวาระรวด มันก็ชัดเจนในตัวมันเองอยู่แล้ว
00 เส้นทางโรดแมป เส้นทางปฏิรูป เริ่มงวดเข้ามาอีกครั้ง มันก็เหมือนกับเส้นทางที่แคบเข้ามาทำให้แต่ละฝ่ายต้องแสดงตัวตนให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จะอยู่เฉยๆแบบ"ตามน้ำ"เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ อย่างเรื่องการปฏิรูปที่เป็นความเห็นร่วมของประชาชน เช่น การปฏิรูปตำรวจ การปฏิรูปพลังงาน มันก็ต้องชัดเจน ตั้งอยู่บนผลประโยชน์สาธารณะ ทุกอย่างพิสูจน์กันได้อย่างเดียวคือการกระทำให้เห็นผลประจักษ์ไม่ใช่คำยืนยันด้วนคำพูดส่วนตัวเพียงอย่างเดียว !!
00 กำลังเข้าสู่โหมดอ่อนไหวแล้วจริงๆ ทั้งกับฝ่ายรัฐบาลและ คสช.ฝ่ายหนึ่งกับประชาชนอีกฝ่ายหนึ่ง ว่าจะสามารถเคลื่อนมมบรรจบกันได้หรือไม่ในอนาคต เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ รธน.ฉบับใหม่ การปฏิรูปและนำไปสู่การเลือกตั้งเมื่อไหร่ เหล่านี้เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง และแน่นอนว่าการเชิญบรรดา นักการเมือง ผู้นำมวลชนไปพบหารือ หรือแบบปรับทัศนคติมันอาจได้ผลในแบบให้หยุดพูดหยุดความเคลื่อนไหวได้บ้าง อย่างล็อตล่าสุดก็เช่น พิชัย นริพทะพันธุ์ จาตุรนต์ ฉายแสง จุตพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รวมทั้ง ถาวร เสนเนียม เป็นต้น แต่สำหรับประชาชนทุกอย่างไม่ได้ขึ้นกับการชี้นำของคนพวกนี้เสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับความศรัทธาของผู้นำและรัฐบาล รวมทั้ง คสช.ต่างหาก ซึ่งศรัทธาที่ว่านั้นย่อมมาจากผลการพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่ต่างหาก นี่คือหลักการเหตุผลง่ายๆทั่วไป เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาทุกยุคสมัยต่างมองข้ามและประเมินผิดเสมอต่างหาก และสำหรับ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ที่บอกว่าถูกเชิญให้ไปตอบคำถามว่าคิดอย่างไรกับ คสช. รัฐบาลและกับร่างรธน.ฉบับใหม่ในวันศุกร์ที่ 19 มิ.ย.ก็คงตอบไม่ยากว่าคิดเห็นอย่างไร !!