นายกรัฐมนตรีแจงการจัดตั้งศูนย์พักพิงชาวโรฮีนจาต้องดูหลายด้าน ทั้งความมั่นคงและสิทธิมนุษยชน จ่อหารือประเทศเพื่อนบ้านและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ชี้ถ้าโจมตีกันเองก็ไปไม่ได้ ต้องแก้ทั้งในอาเซียนด้วยกัน สั่งกระทรวงการต่างประเทศหารือ
วันนี้ (12 พ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงความคืบหน้าของการจัดตั้งศูนย์พักพิงชาวโรฮีนจาเพื่อส่งไปยังประเทศที่ 3 ว่า ขณะนี้กำลังหารืออยู่เนื่องจากการจะทำอะไรก็ตามต้องดูหลายด้าน ทั้งในด้านความมั่นคงของประเทศ เพราะต้องดูแลคนไทยเป็นหลัก แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือสิทธิมนุษยชน ที่มีการกระทำผิดในประเทศของเรา แล้วเราจะดูแลเขาอย่างไร อันนี้คงต้องไม่ใช่ของเราอย่างเดียว ต้องหารือกับประเทศเพื่อนบ้านที่เกี่ยวข้อง และองค์กรระหว่างประเทศว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะว่าไม่เช่นนั้นเราจะรับภาระทั้งหมดมา และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนที่มีจำนวนมากในช่วงนี้ที่พบบนเรือเพราะว่าช่วงนี้ใกล้ฤดูมรสุมแล้ว เราก็ต้องกวดขันในเรื่องนี้ หากเข้ามาในดินแดนเราก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย หากผ่านไปข้างนอกน่านน้ำอื่นก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อถามว่า สาเหตุของชาวโรฮีนจาที่เข้ามานั้นเกิดจากอะไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สาเหตุเกิดจากคนเหล่านี้อยู่ที่ใด ส่วนหนึ่งมาจากรัฐอาระกัน หรือรัฐยะไข่ในพม่าปัจจุบัน และบังกลาเทศ และพวกเขายากจน หางานทำ แล้วมีญาติพี่น้องที่อยพออกไปแล้วส่งข่าวไปจึงมีคนที่จะอพยพตามมา แล้วมีคนแสวงหาผลประโยชน์คือคนที่นั่น ขบวนการมันเริ่มตรงนั้น ประเทศไทยเป็นเพียงประเทศกลางทาง ปลายทางที่เขาจะไปนั้นไม่ใช่ไทย มันเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ เราเป็นประเทศกลางทางที่เกี่ยวข้อง จึงต้องไปแก้โดยให้ต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในเรื่องนี้ เพื่อดูที่ต้นทางและปลายทางให้ได้ เราก็ต้องจัดการให้ได้ ข้อสำคัญคือเจ้าหน้าที่ของเราต้องกำกับดูแลเรื่องเหล่านี้ที่ผ่านมานั้นไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ เพราะหลายอย่างทั้งกฎหมาย ทั้งหน่วยงาน ทั้งงบประมาณ ความเอาใจใส่ วันนี้เราเอาใจใส่ทุกเรื่องจึงมีเรื่องนี้ออกมา
เมื่อถามว่า องค์กรระหว่างประเทศได้มีการประสานงานมาบ้างหรือไม่ และว่าอย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประสานมาให้แก้ปัญหาการค้ามนุษย์ให้ได้โดยเร็ว ตามกติกาสากล เราก็ต้องช่วยกันแก้ปัญหา ถ้าเราโจมตีกันเองก็ไปไม่ได้ ต้องแก้ทั้งในอาเซียนด้วยกัน ตอนนี้ให้กระทรวงการต่างประเทศไปหารือกันมาก่อน แต่ก็อย่างที่รู้กันมันจะแก้ปัญหาได้อย่างไรในเมื่อต้นทางปลายทางมันร่วมมือกัน แต่เราอยู่ที่กลางทาง