ผ่าประเด็นร้อน
เชื่อว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา คงได้เห็นภาพข่าวการสังหารหมู่ผู้อพยพชาวโรฮิงญา ที่คาดว่าหลบหนีเข้าเมืองมาจากประเทศพม่า และ บังกลาเทศ ภาพที่เห็นเป็นการค้นพบหลุมฝังศพขนาดใหญ่ายสิบหลุม กระจายกันอยู่ในหลายพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย - มาเลเซีย ทั้งในบริเวณเขาแก้ว ตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ในจังหวัดสตูล รวมไปถึงล่าสุดตามเกาะแก่ง ในป่าเขาในพื้นที่จังหวัดระนอง พังงา เป็นต้น พบทั้งร่องรอยเป็นค่ายกักกัน และหลุมฝังศพเพิ่มเติมเรื่อยๆ
โดยก่อนหน้านี้ มีการสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับผู้กำกับคือยศพันตำรวจเอกไปล็อตแรก สองสามราย ล่าสุด พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งย้ายครั้งใหญ่ตามมาอีก 38 ราย ส่วนใหญ่เป็นระดับยศพันตำรวจเอก ตั้งแต่ระดับรองผู้บังคับการ ลงไปจนถึงระดับจ่า แต่ส่วนใหญ่เป็นระดับชั้นสัญญาบัตร เกือบทั้งหมด เป็นชั้นยศพันตำรวจเอก และพันตำรวจโท
คำสั่งโยกย้ายครั้งหลังสุดของหน่วยงานตำรวจจะกระจายไปหลายหน่วยงาน ทั้งตำรวจในพื้นที่ ตำรวจน้ำ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และ กองบังคับการปราบปรามกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ เนื่องจากเห็นว่าบกพร่องต่อหน้าที่ ขณะเดียวกัน ยังมีการออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์กักขังหน่วงเหนี่ยว จำนวนหลายราย มีทั้งผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และแน่นอนว่าต้องมีระดับข้าราชการ “คนมีสี” ทั้งสีกากี และ สีเขียว เข้าไปเกี่ยวข้องหลายราย
นอกจากนี้ มีรายงานข่าวล่าสุดว่า กองทัพภาคที่ 4 ได้สั่งโยกย้ายนายทหารระดับพันเอก ที่เป็นผู้บังคับการกรม หนึ่งนายออกจากพื้นที่ และมีการออกหมายจับนายทหารยศพันตรี 1 - 2 นาย
เชื่อว่าจะต้องมีการโยกย้ายและออกหมายจับตามมาอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตั้งแต่ระดับ ปลัดอำเภอ นายอำเภอ ไปจนถึงระดับผู้ว่าราชการจังหวัด เพราะถือว่าคนพวกนี้ต้องรับผิดชอบฐานปล่อยปละละเลย บกพร่องต่อหน้าที่
สาเหตุที่มั่นใจว่าจะต้องมีการโยกย้ายชนิดที่เรียกว่า “ล้างบาง” ตามมาก็เดาจากคำพูดของ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ส่งเสียงเข้มว่าหากพื้นที่ใดมีการกระทำผิดในลักษณะดังกล่าวคือ “ค้ามนุษย์” ค้าทาส รวมไปถึงสินค้าผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันรับผิดชอบ และนั่นคือที่มาของคำสั่งย้ายล็อตใหญ่ และคงจะตามมาอีกหลายล็อต
นั่นเป็นความเคลื่อนไหวด้านการปราบปราม และด้านการปกครอง ที่ต้องดำเนินการไปอย่างเข้มข้น และแข่งกับเวลา เพราะเรื่องการ “ค้ามนุษย์” กำลังจะเป็น"เงื่อนไข"หรือข้ออ้างของประเทศตะวันตกสำหรับใช้บอยคอตสินค้าไทยในอนาคต หากมีการแก้ปัญหาไม่เป็นที่พอใจ หรือตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะสินค้าประมง
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันอีกด้านหนึ่ง หากมองในด้านการแก้ปัญหาที่ “แตก” เพราะปัญหาโรฮิงญา มองในด้านปัญหาหมักหมมของพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ที่หากบอกว่า “เน่าเฟะ” มานานแล้ว และปัญหาการค้ามนุษย์ที่เกี่ยวกับแรงงานประมง ปัญหายาเสพติด ค้าน้ำมันเถื่อน สินค้าเถื่อนสารพัด ซึ่งจะว่าไปแล้วธุรกิจเถื่อนเหล่านี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล ที่สมคบกับเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหารในพื้นที่ นักการเมือง คนพวกนี้เกี่ยวข้องกันเป็นขบวนการใหญ่ มีการส่งส่วย รับส่วยกันเป็นรายเดือน รายเฉพาะกิจ และไม่ต้องมาเถียงให้เสียน้ำลายว่าไม่มี เพราะมันมีจริงและมีมากเสียด้วย
ทั้งข้าราชการทั้งหลายดังกล่าวนี่แหละที่เป็นสาเหตุสำคัญในการฉุดรั้งการแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มานานหลายปี จนเป็นปัญหาหมักหมม และใหญ่เกินแก้ไข และที่สำคัญ นี่คือต้นตอที่ทำให้ “ลุกเป็นไฟ” ดังนั้น การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สั่งการแบบเฉียบขาด พร้อมใช้อำนาจ “พิเศษ” เข้ามาแก้ปัญหาหากติดขัด ทำให้มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันมอบหมายให้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ลงมาบัญชาการแก้ปัญหาแบบบูรณาการเที่ยวนี้ก็น่าจับตา เพราะลงมาไม่นานก็เริ่มมีการขยับโยกย้ายกันแทบทุกหน่วยงาน
ขณะเดียวกัน หากเข้าใจปัญหาในพื้นที่ดีอยู่แล้ว ทุกอย่างก็น่าจะก้าวหน้า พ้นจากความมืดมนนนทกาลได้เสียที เพราะหากล้มเหลวหรือแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูกอีกมันก็จบเห่กันเท่านั้นเอง !!