xs
xsm
sm
md
lg

เบื้องลึกปม วาทะ “ประหารชีวิตสื่อ” คุกคามเสรีภาพนักข่าวไทย??

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายงานการเมือง

ไม่น่าแปลกใจกับอาการไม่สบอารมณ์ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่พูดถึง “สื่อยักษ์ใหญ่ระดับโลก” ซึ่งเสนอข่าวใหญ่โตว่า “ผู้นำไทยขู่จะประหารชีวิตนักข่าว” โดยนำความคิดเห็นของ “กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ” ที่แสดงความเป็นห่วงในคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ไปตีปิ๊บขยายความต่อแบบไม่ตรวจสอบความจริง

ว่ากันอย่างเป็นกลาง คงต้องเห็นใจ พล.อ.ประยุทธ์ ในกรณีนี้ไม่น้อย เพราะคงไม่คิดไม่ฝันว่า จะถูกนำเรื่องเล็กน้อยที่กระเซ้าเย้าแหย่กับสื่อมวลชนที่เฝ้าติดตามการทำงานของนายกฯ ไปเป็นประเด็นเรื่อง “เสรีภาพสื่อ”

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินเดินทางไปเยือนประเทศบูรไนอย่างเป็นทางการ บรรยากาศการให้สัมภาษณ์ในวันนั้นค่อนข้างผิดแผกแปลกไปจากปกติ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์อ่านโพยที่ถืออยู่ในมือ วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่สื่อมวลชนและคอลัมนิสต์บางฉบับเป็นฉากๆ โดยเฉพาะ “เอเอสทีวีผู้จัดการ” ที่ถือว่าโดนจัดหนักถึงขนาดบอกว่า อ่านไม่ได้ซักหน้า ก่อนจะไล่เรียงบ่นไปที่สื่ออื่นๆ อย่างทั่วถึง

จังหวะปัญหาเกิดขึ้นขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดฝากไปถึงสมาคมสื่อฯ ต่างๆ ให้ช่วยดูแลการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ไม่ให้สร้างความแตกแยกเพิ่มขึ้น ก่อนที่ผู้สื่อข่าวจะซักถามข้อสงสัยที่ว่า จะมีมาตรการลงโทษใดหากสื่อไม่ให้ความร่วมมือ พล.อ.ประยุทธ์ สวนกลับทันควันว่า “ประหารชีวิตมั้ง?? ถามส่งเดชไปได้ ก็อย่าทำกันสิ ระมัดระวังกันหน่อย สื่อต้องมีวิจารณญาณ มีจรรยาบรรณกันหน่อย”

ก่อนสัมภาษณ์จบก็เป็นผู้สื่อข่าวเองที่พูดแหย่ พล.อ.ประยุทธ์ไปว่า “ไม่มีคำถามจะถามแล้ว เกรงจะถูกคำสั่งประหาร” ทำให้ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ สวนกลับมาอีกว่า “ใช้เครื่องประหารหัวสุนัขเลย เดี๋ยวจะจัดการกับสื่อสักหน่อย รักกันอยู่แล้ว ขอร้องให้ช่วยกันหน่อย...”

หากไปย้อนดูคลิปก็จะเห็นว่า ประเด็นเรื่อง “ประหารชีวิต” นั้นเป็นการพูดกระเซ้าเย้าแหย่กันของสื่อกับผู้นำประเทศในฐานะ “แหล่งข่าว” ที่รู้มือ รู้ปากกันดีอยู่แล้ว และก็เป็น “นักข่าว” เองด้วยซ้ำที่ย้ำประเด็นเรื่อง “ประหารชีวิต” ในลักษณะทีเล่นทีจริง เพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น

บรรยากาศในวันนั้นถูกนำมาเล่ากันในวงนักข่าวออกไปในเชิงสนุกสนานมากกว่า โดยไม่ได้มีนักข่าวคนไหนกลัวว่า จะถูกนำตัวไปประหารชีวิตจริงๆ

และคนไทยเกือบทั้งประเทศคงรู้ดีว่าวลี “ใช้เครื่องประหารหัวสุนัข” นั้นเป็นคำพูดติดปากมาจากภาพยนตร์จีนสัญชาติไต้หวันชุด “เปาบุ้นจิ้น” ที่โด่งดังในอดีต จนมาถึงบัดนี้ก็ยังมีการพูดถึงวลีการใช้เครื่องประหารหัวสุนัขหรือหัวอื่นๆ อยู่บ่อยๆ กลายเป็นคำพูดหยอกเย้ากันจนคุ้นหู

แน่นอนว่า ผู้แทนกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ที่ออกมาคอมเมนต์เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น เต็มที่ก็คงได้ติดตามข่าว หรือมีทีมงานนำถ้อยคำของนายกฯ ไทยรายงานให้ฟัง และที่สำคัญอาจไม่เคยดูซีรีย์จีนยอดฮิตอย่าง “เปาบุ้นจิ้น” และไม่รู้จัก “เครื่องประหารหัวสุนัข” อย่างแน่นอน

และหากผู้แทนกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ พูดเรื่องนี้ด้วยตัวเองจริง ก็ต้องถือว่าเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของคนพูดทั้งหมดในวันนั้น แต่พอมีคำว่า “execute journalists” ไปโผล่อยู่ในคำให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ไทย ตามประสา “คนโลกสวย” ที่ยึดมั่นเรื่องเสรีภาพสื่อ-สิทธิมนุษยชน ก็ต้องออกแอคชั่นแสดงความเป็นห่วงข้ามทวีปเป็นธรรมดา แต่ไม่ได้คิดที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า เป็นการข่มขู่ หรือเป็นการพูดทีเล่นทีจริง

สำหรับในประเทศไทยก็ต้องยอมรับว่า บางส่วนอาจขัดใจกับบุคลิกของ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะผู้นำประเทศ ที่มีคำพูดคำจาที่ดุดันเจือไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวบ่อยครั้ง แต่ก็เป็นอารมณ์ที่สะท้อนถึงความไม่พอใจการทำหน้าที่สื่อที่ไม่เข้าใจ และไม่เคยพอใจการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล

ไม่ได้ใกล้เคียงการ “ข่มขู่-คุกคาม” อย่างที่ถูกฝรั่งหัวแดงนำไปตีความ

ที่สำคัญบุคลิกที่ค่อนข้างแข็งกร้าวตามสไตล์ทหารอาชีพของ “บิ๊กตู่” ก็เป็นที่รับรู้มาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นอยู่ในกองทัพ มีหลายครั้งที่ฟาดฟันกับสื่อมวลชนสายทหารอย่างดุเดือด แต่นักข่าวสายทหารก็รู้ดีว่า เป็นสไตล์การทำงาน และเอกลักษณ์ในการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์

พลันที่กระโดดเข้ามารับงานหัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรี ก็ยังมีหลายเหตุการณ์กับสื่อมวลชนที่สร้างความฮือฮา ไล่ตั้งแต่การออกท่าทางจะทุ่มโพเดี้ยมใส่นักข่าว คำพูดที่ว่าจะชกหน้าผู้สื่อข่าวที่ชอบถามคำถามยั่วอารมณ์ หรือการลูบหัวจับหูผู้ช่วยช่างภาพในขณะให้สัมภาษณ์ เป็นต้น ต่างๆเหล่านี้ “สื่อยักษ์ใหญ่ระดับโลก” ก็เคยนำไปเสนอข่าวมาหมดแล้ว

ขณะที่สื่อมวลชนไทยต่างก็รู้ดีว่า เป็นเพียงการหยอกล้อในสไตล์ “บิ๊กตู่” ไม่ได้มีเจตนาทำรุนแรง ทำร้ายร่างกาย หรือข่มขู่แต่อย่างใด ในทางกลับกัน ท่าทีของ “ต่างชาติ” กลับ “บ้าจี้” มองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่อง “เซนซีทีฟ” และ “ซีเรียส” ถึงขั้นไปผูกโยงกับเรื่อง “เสรีภาพสื่อ” เรียกว่ามโน ไปต่างๆ นานา โดยที่ไม่คิดจะค้นคว้าหารายละเอียดข้อเท็จจริง หรือนำคลิปเหตุการณ์ฉบับเต็มมาวิเคราะห์ถึงเจตนาที่แท้จริงของ พล.อ.ประยุทธ์เป็นอย่างไรกันแน่

จะว่า “ตั้งแง่-อคติ” กับรัฐบาลทหารก็คงไม่ผิดนัก

และไม่เพียงแต่ “สื่อยักษ์ใหญ่ระดับโลก” หรือ “ประเทศมหาอำนาจ” เท่านั้น “สื่อไทย” บางแห่งก็คอยจ้องจับผิด และตะปบอย่างรวดเร็วเหมือนเจอเหยื่ออันโอชะ ยามที่ พล.อ.ประยุทธ์ออกอาการฉุนเฉียวโดยเฉพาะกับสื่อ เราจึงมักเห็น “สื่อหัวแดง” ขึ้นข่าวแอคชั่นของ “บิ๊กตู่” พร้อมคลิปสั้นๆ ที่ตัดตอนเอาเฉพาะจังหวะที่ต้องสื่อให้สังคมได้รับรู้ ก่อนที่ “สื่อยักษ์ใหญ่ระดับโลก” จะรับลูกไปกระพือข่าวทั่วโลก

น่าสังเกตว่า จังหวะขับเคลื่อนของ “สื่อยักษ์ใหญ่ระดับโลก – ประเทศมหาอำนาจ – สื่อไทยหัวแดง” ก็มักจะรับส่งกันไปในทิศทางเดียวโดยมิได้นัดหมาย สอดคล้องต้องกันกับกระแสข่าวที่ว่า “ขั้วตรงข้าม คสช.” ทุ่มทุนไม่อั้นให้ “ล็อบบี้ยีสต์” เดินเกมกระทุ้ง-กระทืบประเทศไทยใต้ร่มเงาของ คสช. ให้มิดจมดิน

ดูได้จากการโหมประโคมข่าวแรงกกดดันให้รัฐบาล คสช. ยกเลิกประกาศกฎอัยการศึกที่มาอย่างถี่ยิบในช่วงระยะหลัง จนที่สุดเมื่อยกเลิกกฎอัยการศึก และนำอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาบังคับใช้แทน ก็ยังมีลูกติดพันโจมตีตัว “มาตรา 44” อย่างต่อเนื่อง และก็ลงท้ายตามสูตรสำเร็จเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว

ผนวกกับประเด็นเรื่องการจับผิด พล.อ.ประยุทธ์ ที่ต่างรู้ดีว่า มีสิ่งที่เหนือความคาดหมายให้ติดตามโดยตลอด เพราะด้วยบุคลิกความเป็นคนคิดเร็วพูดเร็วของ พล.อ.ประยุทธ์เอง จึงมี “ใบสั่ง” ให้เกาะติด และขยายปมไปให้ไกลที่สุด บวกกับต้องมีคอมเมนต์ของ “ประเทศมหาอำนาจ” ไม่ว่าจะระดับใดก็ตามเพื่อเสริมเติมแต่งให้ข่าวดูมีน้ำหนักมากขึ้นไปอีก

ทั้งหลายทั้งปวงมองได้ว่า ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของ “ล็อบบี้ยีสต์ระดับโลก” ที่ขับเคลื่อนโดย “ท่อน้ำเลี้ยง” จาก “ขั้วตรงข้าม คสช.” ส่วนจะเกาะติดจิกกัดไม่ปล่อย “รัฐบาล คสช.” ไปถึงเมื่อไรนั้น ก็อยู่ที่ “นายใหญ่” เอ๊ยย... “นายจ้าง” จะทุ่มขนาดไหน.
กำลังโหลดความคิดเห็น