สะพัด!! สึกหนีปัญหา “พระอาจารย์เพชร” สปอนเซอร์หลักพีซทีวี หลังมีข่าวฝ่ายมั่นคงส่งคนประกบ แถมมีเอี่ยวปั่นหุ้นจนร่ำรวย เผยซี้ปึ้ก “จตุพร” ประธาน นปช. ด้าน “ณัฐวุฒิ” เห็นใจ กสท.ถูกกดดันปิด “พีซทีวี-ทีวี 24” เตรียมถกผังรายการใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมาได้เกิดข่าวแพร่สะพัดในหมู่คนเสื้อแดงว่า พระครูวินัยธร (พชร) ฐานกโร หรือพระอาจารย์เพชร เจ้าอาวาสวัดประยงค์กิตติวนาราม แขวงคลองสิบสอง เขตหนองจอก กทม. ได้สึกออกจากการเป็นพระ โดยพระอาจารย์เพชรเป็นพระภิกษุที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มปนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างสูง และมีกระแสข่าวว่าหน่วยข่าวจากฝ่ายความมั่นคงได้จับตาความเคลื่อนไหวของพระอาจารย์เพชรมาเป็นเวลานาน เนื่องจากมีข้อมูลเชื่อมโยงว่าเป็นนายทุนหลักที่สนับสนุนการดำเนินการของโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีซทีวี ซึ่งมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเงินจำนวนมหาศาลที่อาจเข้าข่ายเกี่ยวพันกับขบวนการปั่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อีกด้วย
ด้านนายชินวัฒน์ หาบุญพาด อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ทราบมาว่าพระอาจารย์เพชรได้สึกออกจากความเป็นพระแล้ว สาเหตุน่าจะมาจากเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ แต่ส่วนตัวไม่ขอยืนยันว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เพราะได้ยินมาจากบุคคลที่มาพูดให้ฟัง การสึกออกไปน่าจะทำให้ปัญหาบางอย่างหมดไป ส่วนสาเหตุที่พระอาจารย์เพชรสนิทสนมกับนายจตุพรอาจเป็นเพราะเป็นคนใต้ด้วยกันเลยมีความสัมพันธ์กัน คงจะช่วยเหลืออะไรกันบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสข่าวว่าพระอาจารย์เพชรคือผู้สนับสนุนหลักให้กับพีซทีวี นายชินวัฒน์กล่าวว่า ได้ยินข่าวมาเช่นนั้นเหมือนคนอื่น ส่วนจะสนับสนุนมากน้อยแค่ไหนนั้นไม่ทราบ หากดูรายการทางพีซทีวีจะเห็นได้ว่าไม่มีโฆษณาเข้าเลย เท่าที่รู้ค่าใช้จ่ายต่อเดือนก็สูงเป็น 10 ล้านบาท ถ้าไม่มีแหล่งเงินทุนมาสนับสนุนจะอยู่ได้อย่างไร ทราบจากคนรู้จักอีกว่าพระอาจารย์เพชรชอบลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และแนะนำลูกศิษย์ลูกหาร่ำรวยจากหุ้นไปหลายคน
“คนที่มาเล่าให้ฟังเขาก็บอกว่าอาจารย์เพชรจำเป็นต้องสึก ถ้าไม่สึกเรื่องจะใหญ่โตได้ เลยสึกเพียงเพื่อจะได้ตัดตอนเรื่องอะไรที่มันยุ่งๆ ไปเสีย แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอะไร พยายามถามคนที่มาคุยด้วยว่ามีเรื่องเกี่ยวกับสีกา โยมผู้หญิงด้วยหรือไม่ เขาบอกเพียงว่าเป็นธรรมดาของพระที่เริ่มมีเงินเยอะ ผมเคยบวชมาก่อน เท่าที่เห็นจากประสบการณ์ก็เห็นมามาก ตอนแรกก็ตั้งใจบวชเอาบุญ แต่ส่วนใหญ่ต่อมาเงินจะทำให้เสีย ถ้าพระไปเกี่ยวกับเงินมากนักก็จะไม่เห็นนิพพาน จะเห็นอย่างอื่น พอมีเงินมากอย่างอื่นก็ตามมาทั้ง สีกา นารี เงินแม้เป็นของดี แต่มันไม่ใช่ความดี แต่ไม่ขอยืนยันว่าพระอาจารย์เป็นอย่างนั้นหรือไม่ บอกให้ฟังจากคนที่เขาซุบซิบกันมา” นายชินวัฒน์กล่าว
เมื่อถามว่า หากพระอาจารย์เพชรเป็นผู้สนับสนุนหลักของพีซทีวีจริง ในอนาคตถ้าออกอากาศได้อีกครั้งก็อาจมีปัญหาตามมา นายชินวัฒน์กล่าว่า ถ้าเป็นไปตามที่เขาบอก เมื่อประเมินค่าใช้จ่ายสถานีนี้ที่ไม่มีโฆษณาเข้ามาเลย ถ้าบอกไม่มีแหล่งเงินมาสนับสนุนก็คงเป็นไปไม่ได้ คนที่มาคุยก็บอก พระอาจารย์เพชรนี่แหละคือผู้สนับสนุนพีซทีวีตัวจริง เมื่อท่านสึกไป หากเงินที่ได้จากการเล่นหุ้น เมื่อรวยก็อาจจะสนับสนุนต่อ หรืออีกทางอาจจะไปทำมาหากินอย่างอื่นเลยก็ได้
นายชินวัฒน์กล่าวอีกว่า คนที่ศรัทธาอาจารย์เพชรเคยพาตนไปพบ 2 ครั้ง ตอนนั้นยังเป็นที่ปรึกษา รมว.คมนาคม ไปวัดช่วงนั้นเห็นว่ามีการก่อสร้างอะไรมากมาย มูลค่าน่าจะเป็นพันล้านบาท ยังคิดอยู่ถ้าไม่มีระบบตรวจสอบที่ดีอาจมีปัญหาตามมาได้ เงินเป็นอุปสรรคต่อเพศพรหมจรรย์อย่างที่พระพุทธเจ้าห้ามไว้ เป้าหมายการบวชที่พระพุทธเจ้าสอน คือ บวชเพื่อพ้นจากความทุกข์ ทุกวันนี้พระหลายรูปที่มีปัญหาล้วนมาจากเรื่องเงินๆ ทองๆ ทั้งนั้น
มีรายงานว่า พระอาจารย์เพชรเป็นพระที่นายจตุพรให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก สมัยที่นายจตุพรเป็นหัวแรงในการก่อสร้างหลวงปู่ทวดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในอาณาจักรโบนันซ่า เขาใหญ่ ก็ได้พระอาจารย์เพชรเป็นประธานพิธีฝ่ายสงฆ์ให้ในการวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 56 นอกจากนี้ งานวันเกิดครบ 48 ปีของนายจตุพร 5 ต.ค. 56 พระอาจารย์เพชรได้สวดเสริมบารมีให้แก่นายจตุพรอีกด้วย
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.กล่าวถึงมติของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ที่มีมติให้พีซทีวีและทีวี 24 งดออกอากาศ 7 วันเนื่องจากมีหลายรายการที่ออกอากาศแล้วเข้าข่ายยั่วยุ ขัดต่อประกาศของ คสช.ว่า ที่ผ่านมาโทรทัศน์ดาวเทียมทางการเมืองทุกช่องก็มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ทางการเมืองในแง่มุมต่างๆ โดยตลอด ระดับความเข้มข้นก็แทบจะไม่แตกต่างกัน หากเทียบกับพีชทีวีและทีวี 24 แล้ว บางช่องยังดุเดือดร้อนแรงกว่าด้วยซ้ำ แต่เมื่อมีคำสั่งให้ยุติการออกอากาศนั้น กลับเกิดขึ้นกับเฉพาะ 2 ช่องดังกล่าวนี้เท่านั้น เข้าใจว่า กสท.ก็คงจะถูกกดดันให้ต้องมีมติเช่นนี้ นี่ถือเป็นอีกสัญญาณหนึ่งว่า ฝ่ายรัฐเลือกที่จะใช้อำนาจจัดการทุกอย่างแทนที่จะเปิดช่องให้คนเห็นต่างได้ สื่อสารบ้างเพื่อคลายความกดดัน ลักษณะแบบนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ถ้าผู้มีอำนาจไม่สามารถสร้างความยอมรับ หรือความเชื่อมั่นจากประชาชนได้ด้วยการบริหาร ก็จะกลับมาใช้กำลังเพื่อควบคุมปฏิกิริยาต่างๆ ที่จะมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐเท่านั้น ทั้งๆ ที่ที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้ไปปลุกปั่น ยุยง หรือทำอะไรที่เป็นการเคลื่อนไหวใต้ดินหรือคลื่นใต้น้ำอะไรเลย เราคิดเห็นอย่างไรก็เสนอผ่านรายการเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทางทีมงานของทั้ง 2 ช่องดังกล่าวจะใช้ช่วงเวลาที่ยุติการออกอากาศนี้ สรุปแนวทางการดำเนินงานที่ผ่านมา และกำหนดยุทธศาสตร์ในการผลิตเนื้อหาเพื่อออกอากาศภายใต้จุดยืนประชาธิปไตยต่อไป