รองโฆษกสำนักนายกฯ เผยมาตรา 44 นายกฯ เปรยจะใช้ก็ต่อเมื่อคุยกันขั้นสุดท้ายแล้วไม่รู้เรื่อง แต่เบื้องต้นอาจเชิญฝ่ายต่อต้านรัฐบาลมาคุย หรืออาจพูดคุยผ่านโทรศัพท์ก็ได้ ยันกฎหมายปกติและกฎอัยการศึกเอาอยู่ แย้มอาจต่อสายต่อสายเคลียร์ “ถาวร-วรชัย” หลังสองฝ่ายเริ่มขยับ
วันนี้ (5 พ.ย.) พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เรียกให้บุคคลไปรายงานตัวตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวว่า หากมีความเคลื่อนไหวเริ่มจากน้อยไปหามาก ถ้ารัฐบาลหรือ คสช.ปล่อยไปแรงขยับเขยื้อนก็จะมากขึ้น และไม่สามารถดึงสถานการณ์ให้กลับมาสู่สภาวะแบบนี้ได้อีก คสช.จึงต้องทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน โดยเชื่อมั่นว่าผู้ที่เคลื่อนไหวก็ได้รับข้อมูลอยู่ และมั่นใจว่าทุกคนหวังดีต่อชาติบ้านเมือง เมื่อรับฟังแล้วก็เข้าใจ แต่ถ้าคุยแล้วไม่รู้เรื่องก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย จากกฎหมายปกติที่มีอยู่จากมาตรการเบาไปหาหนัก ถ้าคุยไม่รู้เรื่องอีกก็คงต้องใช้กฎอัยการศึก ส่วนมาตรา 44 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เปรยว่า ถ้าคุยกันขั้นสุดท้ายแล้วไม่รู้เรื่องก็จำเป็นต้องใช้ เพราะต้องรักษาสภาพเพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้ แต่เราหวังว่าคงไม่ถึงขั้นนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า คสช.สามารถเรียกบุคคลที่คิดว่าอาจจะเป็นภัยต่อรัฐบาลมารายงานตัวได้ใช่หรือไม่ พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า อย่าเรียกถึงขั้นเป็นภัยต่อรัฐเลย แต่หาก คสช.พิจารณาแล้วว่ามีความจำเป็นก็อาจจะเชิญมาพูดคุย หรืออาจพูดคุยผ่านโทรศัพท์ก็ได้ ยืนยันว่าให้เกียรติซึ่งกันและกัน เชื่อว่าแต่ละฝ่ายก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง คุยกันน่าจะรู้เรื่อง ส่วนจะมีการพูดคุยโดยใช้เวลา 5-7 วัน เหมือนการเรียกรายงานตัวก่อนหน้านี้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ คสช. ขณะนี้กฎหมายปกติและกฎอัยการศึกยังดูแลได้อยู่
เมื่อถามว่า หากมีการใช้กฎหมายกับนายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. หรือนายวรชัย เหมะ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ใครจะเป็นผู้พิจารณา พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า คงไม่ถึงขั้นนั้น นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้า คสช.แค่เปรยในที่ประชุมร่วม ซึ่ง คสช.ต้องมีการประเมินสถานการณ์ และต้องดูว่าหากจะต้องติดต่อใครที่มีความเคลื่อนไหวก็ต้องให้เกียรติ อาจจะคุยโทรศัพท์กันซึ่งเป็นเรื่องปกติและคุยกันเพียงครั้งเดียวก็คงเข้าใจ คงไม่ถึงขั้นนำกฎหมายมาใช้