เลขาฯ กกต. เผยยอดเสนอชื่อ สปช. ล่าสุดเฉียด 7 พันคน ชี้กำลังตรวจสอบคุณสมบัติเข้มข้น พบส่วนน้อยมีคุณสมบัติต้องห้าม ช่อง 11 ถ่ายทอดสด “ประยุทธ์” มอบนโยบายเอง กางปฏิทิน คกก. สรรหา 11 ด้านประชุม 4 ครั้ง คาดไม่เกิน 17 ก.ย. เคาะได้ 50 ว่าที่ สปช. ในแต่ละด้าน พร้อมกำหนดรูปแบบเอกสารรายงานผลการสรรหา เรียงตามคะแนนที่ได้รับจาก คกก. เพื่อสะดวก คสช. เลือก 15 คนเก่งตามค่าเฉลี่ยของแต่ละด้าน แต่คาด คสช. อาจให้น้ำหนักกับบางด้านที่จำเป็นต้องปฏิรูปมาก ทั้ง การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา จึงอาจเลือกมากถึงด้านละ 20 คน ขณะเดียวกัน เชื่อค่ากลาง คสช. เลือกแต่ละด้านไม่น้อยกว่า 10 - 12 คน
วันนี้ (3 ก.ย.) ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เดินทางมาตรวจความพร้อมของสถานที่จัดประชุมคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ทั้ง 11 ด้าน และคณะกรรมการสรรหาระดับจังหวัด รวมทั้งตัวแทนของกระทรวง เหล่าทัพต่างๆ ที่เข้าร่วมการประชุมในวันที่ 4 ก.ย. มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานมอบนโยบาย ส่วนการจัดเตรียมสถานที่ได้มีการจัดเตรียมห้องมัฆวานรังสรรค์ไว้สำหรับประชุม และได้แบ่งพื้นที่ห้องไว้ 2 ส่วน ส่วนแรกจะใช้เป็นที่มอบนโยบาย ส่วนด้านหลังได้ใช้ม่านกั้นแบ่งสัดส่วนออกเป็น 11 ห้อง เพื่อให้คณะกรรมการสรรหาแต่ละด้านใช้เป็นสถานที่ประชุมเพื่อคัดเลือกประธานที่เหลืออีก 10 ด้าน ส่วนด้านการศึกษาที่เลือกประธานไปแล้วก็ใช้พื้นที่ดังกล่าวหารือกันถึงการคัดเลือกบุคคล นอกจากนี้ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ จะถ่ายทอดสดการประชุมดังกล่าวในเวลา 09.00 น.
ทั้งนี้ นายภุชงค์ ให้สัมภาษณ์ถึงยอดผู้เสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็น สปช. ล่าสุดว่า ได้รับรายงานตัวเลข ณ เวลา 12.00 น. ถึงจำนวนผู้เสนอชื่อเข้ารับสรรหา สปช. เพิ่มจาก 6,729 คน เป็น 6,985 คน เพิ่มจากคนที่ส่งไปรษณีย์เข้ามา ถือว่าเป็นตัวเลขที่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะคนที่อยู่จังหวัดไกลๆ ส่งไปรษณีย์วันเดียวไม่ถึง คาดการณ์ว่า วันที่ 4 ก.ย. หรือวันที่ 5 ก.ย. เอกสารทางไปรษณีย์จะส่งถึง กกต. โดยเราจะดูตราประทับ ถ้าเป็นวันที่ 3 ก.ย. ถือว่าใช้ไม่ได้ ส่วนการตรวจสอบคุณสมบัติ เราได้ตรวจสอบคู่ขนานตั้งแต่เปิดรับเสนอชื่อในวันที่ 14 ส.ค. เป็นต้นมา วันนี้ได้ตรวจสอบอย่างเข้มข้นร่วมกับ 15 หน่วยงาน คาดว่า การตรวจสอบคุณสมบัติทั้ง 6,985 คน จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย การตรวจสอบคุณสมบัติทั้งหมดจะเข้าไทม์ไลน์ตามกำหนดวันที่ 3 - 12 ก.ย.
จากนั้นวันที่ 13 ก.ย. จะเริ่มกระบวนการสรรหาโดยวันที่ 4 ก.ย. จะเป็นการประชุมใหญ่ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จะมอบแนวทางปฏิบัติให้คณะกรรมการสรรหาทั้ง 11 ด้าน และคณะกรรมการสรรหาระดับจังหวัด หลังจากนายกฯ มอบนโนบายแล้ว คณะกรรมการทั้ง 11 ด้าน จะแยกกันไปประชุมเพื่อเลือกประธานแต่ละด้านใน 10 ด้านที่เหลือ แต่ด้านการศึกษาที่เลือกไปแล้วก็ยังจะมาร่วมประชุมเพื่อปรึกษาหากันแนวทางปฏิบัติในการจัดประชุม เพื่อลงมติการคัดสรรบุคคที่เสนอชื่อจากจำนวนทั้งหมดให้เหลือด้านละ 50 คน ซึ่งคงใช้เวลาประชุมกัน 2 - 3 ครั้ง เพื่อการคัดเลือกบุคคล โดยจะเริ่มขึ้นวันที่ 13 ก.ย. แต่ละด้านไม่จำเป็นต้องจัดประชุมพร้อมๆ กัน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละด้าน ส่วนระดับจังหวัดวันที่ 13 ก.ย. สามารถเคาะชื่อบุคคลเหลือ 5 คนได้เลย แต่ชื่อจะเปิดไม่ได้ ขอให้จังหวัดรอก่อน
นายภุชงค์ กล่าวว่า ส่วนการตรวจสอบคุณสมบัติพบผู้เข้าข่ายขาดคุณสมบัติหรือไม่นั้น ยังเป็นเรื่องชั้นความลับ อาจกระทบสิทธิส่วนบุคคล ขณะนี้ในจำนวน 6,985 คน ก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นบุคคลต้องห้าม เช่น ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือบางท่านอาจจะมีคดียาเสพติด คดีอาญา แต่เราจะมีการตรวจซ้ำว่าคดีถึงที่สุดหรือไม่ เชื่อว่าจะมีไม่มาก ส่วนใหญ่จะมีความประพฤติดี ทั้งนี้ ผู้ที่ให้เอกสารการรับสรรหาเป็นเท็จก็จะมีการดำเนินคดีเพราะเป็นคดีอาญา แต่พยายามไม่ดำเนินการที่กระทบกับใครมากมาย บางครั้งคนบางคนชื่อเดียวกัน นามสกุลเดียวกัน บางคนถ้าไม่บอกเลข 13 หลักมา จะเหมือนว่าคนๆ นั้นทำความผิด จึงต้องตรวจซ้ำเลข 13 หลัก คดีอาญาจะมีการตรวจไปถึงสถานีตำรวจด้วย ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกคน
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากที่มีการปิดรับการเสนอชื่อเป็น สปช. แล้วและมีการกำหนดว่าคณะกรรมการสรรหา สปช. ทั้ง 11 ด้าน จะใช้เวลาในการประชุมไม่เกิน 4 ครั้งในการสรรหาผู้เหมาะสมเป็น สปช. ด้านละไม่เกิน 50 คนนั้น มีรายงานว่า หลังการประชุมคณะกรรมการสรรหานัดแรกในวันที่ 4 ก.ย. เพื่อรับมอบนโยบายจาก พล.อ.ประยุทธ์ และแต่ละคณะจะมีการประชุมเพื่อคัดเลือกกรรมการคนหนึ่งทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการสรรหา ซึ่งคาดว่าจะเป็นเบอร์หนึ่งในคณะกรรมการสรรหาที่ได้รับแต่งตั้งจาก คสช. และเป็นที่ปรึกษาของ คสช. ได้รับคัดเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมการสรรหาในแต่ละด้านแล้ว ก็จะมีการนำเสนอรายชื่อผู้ที่เข้ารับการเสนอชื่อทั้งหมด การกำหนดวิธีการประชุม การส่งบัญชีรายชื่อ เอกสารประกอบการพิจารณาคัดเลือกว่าจะเป็นเมื่อใด
ส่วนการประชุมนัดที่สองจะมีขึ้นในวันที่ 12 ก.ย. เพื่อนำข้อมูลเกี่ยวกับรายชื่อและคุณสมบัติบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อมาพิจารณา และคณะกรรมการสรรหาอาจจะเริ่มดำเนินการสรรหาได้เลย ขณะที่การประชุมนัดที่สามในวันที่ 15 ก.ย. วันดังกล่าวตามแผนงานแล้วเป็นวันที่คณะกรรมการสรรหาจะดำเนินการสรรหา โดยอาจจะดำเนินการสรรหาให้แล้วเสร็จได้ว่าที่ สปช. ด้านละไม่เกิน 50 คนเลยก็ได้ แต่หากไม่แล้วเสร็จ ก็กำหนดให้ประชุมสรรหาให้แล้วเสร็จในนัดสุดท้ายวันที่ 17 ก.ย. เพื่อที่หลังจากนั้นฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสรรหาจะได้ดำเนินการในด้านธุรการทั้งในเรื่องของการจัดทำเอกสาร การรวบรวมรายชื่อผู้เหมาะสมได้รับการสรรหาเป็น สปช. จากคณะกรรมการสรรหาระดับจังหวัด ก่อนที่จะส่งรายชื่อผู้เหมาะสมเป็น สปช. ด้านละไม่เกิน 50 คนของคณะกรรมการสรรหา 11 ด้าน จำนวน 550 คน และรายชื่อผู้เหมาะสมเป็น สปช. จากคณะกรรมการสรรหาระดับจังหวัด จังหวัดละ 5 คน 77 จังหวัด จำนวน 385 คน รวมรายชื่อผู้เหมาะสมเป็น สปช. จากทั้งสองส่วนจำนวน 935 คนให้กับ คสช. ภายในวันที่ 22 ก.ย. เพื่อให้ทันกับกรอบเวลาวันที่ 23 ก.ย. ที่กำหนดว่า คสช. จะเริ่มพิจารณาคัดเลือกบุคคลเป็น สปช. จำนวน 250 คน โดยเลือกจากรายชื่อคณะกรรมการสรรหา 11 ด้าน จำนวน 173 คน และจากคณะกรรมการสรรหาระดับจังหวัด 77 จังหวัด จังหวัดละ 1 คน
ทั้งนี้ การประชุมของคณะกรรมการสรรหา 11 ด้านเพื่อคัดเลือกบุคคลทั้ง 3 ครั้งในทางหลักการ คสช. ต้องการให้ทุกคณะได้ประชุมพร้อมกันในวันเวลาที่กำหนด เนื่องจากต้องการให้การสรรหาบุคคลในแต่ละคณะเสร็จไปพร้อมๆ กัน แต่เนื่องจากกรรมการสรรหาในหลายคณะเป็นรัฐมนตรีอาจมีปัญหาเรื่องเวลา จึงอาจนัดประชุมต่างหากได้ แต่มีกำหนดเวลาการสรรหาควรเสร็จภายในวันที่ 17 ก.ย. แต่ทั้งนี้ ก็ได้มีการกำหนดสถานที่ประชุมไว้ อาจเป็นที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ในกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ หรือ ร.1 รอ. และที่กองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ หรือ ร.1 พัน 4 รอ. ส่วนเมื่อคณะกรรมการสรรหาได้ผู้เหมาะสมเป็น สปช. ในแต่ละด้านไม่เกิน 50 คนแล้ว เอกสารที่จะมีการจัดทำเสนอต่อ คสช. จะประกอบไปด้วย รายชื่อผู้ได้รับการเสนอชื่อ องค์กรนิติบุคคลที่เสนอชื่อ ประสบการณ์ ความโดดเด่นและเรื่องที่มีการนำเสนอที่จะเข้าไปปฏิรูป และมติที่คณะกรรมการสรรหาเลือกบุคคลนั้นๆ ว่าได้จำนวนกี่เสียง
โดยรายชื่อทั้ง 50 รายชื่อ จะถูกจัดเรียงตามตัวอักษร แต่ก็จะมีการจัดทำเอกสารปะหน้าที่จะบอกถึงชื่อผู้ที่เหมาะสมเป็น สปช. ทั้ง 50 คน ที่คณะกรรมการสรรหาเลือก โดยเรียงตามลำดับคะแนนที่ได้จากคณะกรรมการสรรหา เพื่อให้เกิดความสะดวกต่อการพิจารณาคัดเลือกของ คสช. อย่างไรก็ตาม การที่ พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการสรรหา สปช. ไม่ได้กำหนดว่าเมื่อคณะกรรมการสรรหา 11 ด้าน ได้เสนอรายชื่อผู้เหมาะสมเป็น สปช. ด้านละไม่เกิน 50 คนให้ คสช. แล้ว คสช. ต้องคัดเลือกผู้เหมาะสมเป็น สปช. ที่แต่ละด้านที่ส่งมาจำนวนเท่าใด เพียงแต่ระบุว่าให้เลือกจากผู้เหมาะสมที่คณะกรรมการสรรหา 11 ด้านเสนอมา 550 คน เลือกให้เหลือ 173 คน ดังนั้น เมื่อคำนวณสัดส่วน 11 ด้าน ค่าเฉลี่ยการคัดเลือกบุคคลเป็น สปช. ของ คสช. แต่ละจะอยู่ที่ 15 คน แต่มีรายงานว่า สัดส่วนที่ คสช. จะเลือกบุคคลเป็น สปช. ในแต่ละด้านนั้น คสช. จะคำนึงว่าในภาวะของประเทศขณะนี้ว่าจำเป็นต้องให้น้ำหนักกับการปฏิรูปด้านใดมาก เช่น การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา ก็จะเน้นในการคัดเลือกบุคคลด้านนั้นๆ มากกว่า 15 คน โดยอาจจะถึง 20 คน แต่เพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่างมาก จึงมีการกำหนดค่ากลางที่ คสช. จะต้องเลือกบุคคลเป็น สปช. ในแต่ละด้านอยู่ที่ 10 - 12 คนเป็นอย่างน้อย