ข่าวปนคน คนปนข่าว
ตั้งแต่ลงมือปฏิบัติการลับ ลวง พราง ภาคสอง เมื่อช่วงเย็นวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ ต้องถือว่า “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สวมบทเข้ม ตึงเป๊ะ ไม่มีหย่อนให้สำหรับฝ่ายการเมืองเลยสักเซนติเมตรเดียว
เดินเครื่องลุย รื้อซากปรักหักพังที่กองพะเนินมาเนิ่นนานแบบขนานใหญ่ชนิดเท่าเทียมทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าหน้าไหน ทั้ง กปปส. และนปช. ขี้ข้า น.ช.ทักษิณ ชินวัตร โดนเรียกมารายงานตัวเรียบวุธ
ยิ่งตัวระดับเป้งๆ คสช.ออกประกาศให้มารายงานตัวไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม โดยเฉพาะตระกูลชินวัตร มากันพร้อมเพรียง ทั้ง “ผีหัวขาด”อย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร “เจ๊แดง”นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ “ชายจืด”นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ “โอ๊คอ๊าค”พานทองแท้ ชินวัตร
เช่นเดียวกับพวกนักวิชาการสายเสื้อแดง ทั้งสายวิชาการ สายสุดโต่ง ถูกเรียกมารายงานตัวพรึบพรับ เรื่อยไปถึงผู้ที่เคยเข้าข่ายหมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงสถาบันฯ คสช.สแกนละเอียดยิบ กวักมือมารายงานตัวทั้งหมด แทบไม่เล็ดลอดออกไปได้เลย
ขณะที่ข้าราชการตัวเต็งๆ สายน.ช.ทักษิณ ที่มีการคาดการณ์กันก่อนหน้านี้ว่าน่าจะไม่ถูกเอาไว้ ก็ร่วงเก้าอี้กันระนาวเรียบร้อยโรงเรียน คสช. ทั้ง “ริดสีดวง”นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) “บิ๊กแป๊ะ”พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อดีตเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ไม่เว้นแม้แต่ “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ก็กลายเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)ไปแล้ว
ตลอดจนการยุบวุฒิสภา ที่ตอนแรก คสช. ยังอะลุ่มอะล่วย เหลือไว้เป็นกลไกในฝ่ายนิติบัญญัติ ตอนนี้ก็สุญญากาศไปแล้ว เพื่อแสดงให้เห็นว่า ได้ปฏิบัติอย่างเท่าเทียมทุกฝ่าย "เซ็ตซีโร่" ฝ่ายการเมืองทุกผู้ทุกคน และทุกกลไก ไม่ให้มีใครเคลือบแคลงสงสัยได้ว่าเอียงกะเท่เร่ไปฝั่งไหนฝั่งหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังแสดงบทโหดให้ดูเป็นตัวอย่าง ส่งสัญญาณให้รู้ว่า ทหารเอาจริง ไม่มีผ่อนปรน ด้วยการประกาศระงับธุรกรรมการเงินของ “กุ๊ยคลองหลอด” นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรมว.มหาดไทย และ “เดอะอ๋อย”นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรมว.ศึกษาธิการ หลังเบี้ยวไม่มารายงานตัวกับคสช. แถมขู่เลยว่า หากยังไม่มาระวังเจอซังเต
อีกทางคสช. ยังรุกคืบไล่บี้จับอาวุธขบวนการหัวรุนแรงต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ที่แกนนำคนเสื้อแดงใช้เป็นชัยภูมิในการซ่องสุมกำลัง เพื่อบล็อกไม่ให้มีการก่อความรุนแรง หรือปั่นป่วนได้
ปฏิกิริยาของคสช. ทำเอานักการเมืองทุกสาย ออกอาการฝ่อผวา ไม่กล้าฮึดฮัด นอกลู่นอกทาง เหมือนที่เคยปากดีกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ หนำซ้ำยังต่อแถวให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่า งานนี้ไม่มีเชือดไก่ให้ลิงดู มีแต่เชือดลิงให้ลิงดูกันเลย
ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่า รอบนี้กองทัพต้องการเข้ามาแก้ไขปัญหาจริงๆ ไม่มีเกี้ยเซียะ ไม่มีเจรจาต่อรอง หมดเวลาเหยาะแหยะ
ก็ได้รับเสียงชื่มชมและดอกกุหลาบไม่น้อย ที่เข้ามาหย่าศึกได้ทัน
ทว่าความเฮี้ยบเกินไปก็กลายเป็นดาบสองคมเหมือนกัน หลังชักเริ่มมีปฏิกิริยาต่อต้านออกมาอยู่เป็นระลอกจากชาวบ้านชาวช่องที่เริ่มรู้สึกอึดอัดจากการตีกรอบของคสช.ที่แน่นเกินไป โดยเฉพาะการปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน ด้วยการไล่ปิดทีวี วิทยุ ซึ่งเป็นช่องทางที่ประชาชนต้องการที่สุดในช่วงที่มีรัฐประหาร เพื่อจะได้ใช้ติดตามข้อมูลข่าวสาร และปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง
ต้องยอมรับว่า คสช. ถูกต่อว่าไม่น้อยกับการปิดกั้นตรงนี้ อย่าลืมว่าการเสพสื่อ ทั้งการเมือง สังคม เศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งบันเทิงล้วนเป็นชีวิตประจำวันของคนไทย ยิ่งมีเหตุการณ์ไม่ปกติ ประชาชนยิ่งอยากรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น การมาสกัดแม้จะเจตนาเพื่อให้การดูแลทำได้ง่ายแต่ก็สร้างความหงุดหงิดใจต่อประชาชนเป็นอย่างมาก จนรู้สึกว่ามันเยอะเกินไป
โดยเฉพาะกับกลุ่มคนกลางๆ ที่ไม่ได้สนใจสนับสนุน หรือคัดค้านคสช. ที่อาจรู้สึกอึดอัดจนสุดท้ายอาจจะกลายมาเป็นแนวร่วมของฝ่ายต่อต้านทหารได้แบบไม่ได้ตั้งตัว เพราะรู้สึกว่าการกระทำของคสช.ได้สร้างความลำบากให้กับเขา
ต่างชาติเองก็โวย คสช.ไม่น้อย เพราะการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร คือ สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่ควรต้องได้รับ หากยังบล็อกยืดเยื้อออกไป ที่สุดอาจโดนฝั่งตรงข้ามโหมกระแสเรื่องการปิดหูปิดตาประชาชนได้ คล้ายกับยุคพฤษภาทมิฬ
ตลกร้ายการไล่บล็อกลักษณะนี้จะยิ่งเป็นผลเสียต่อตัว คสช.เอง เห็นได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากกองทัพตัดสินรัฐประหารไม่กี่ชั่วโมง ก็คือมีข่าวลือ ข่าวมั่ว ข่าวเท็จ แพร่กระจายออกไปสู่สาธารณะ จนหลายคนตื่นตระหนก หลงเชื่อ โดยเฉพาะจากโซเชียลมีเดีย ที่กองทัพไม่มีวันไล่ปิดได้หมด
ตรงนี้หลายคนมองว่า คสช.ตื่นตระหนกเกินไป และควรหย่อนบ้างน่าจะถูกทางกว่า !!
ตรงกันข้าม หากเล่นกับสื่อเป็น อาจจะเป็นประโยชน์กับตัวเองด้วยซ้ำ เพราะมีช่องทางชี้แจงข้อมูลข่าวสาร ไม่โดนข้อครหาว่า ทำลับๆ ล่อๆ มีลับลมคมใน หรือผลประโยชน์แอบแฝง
อีกจุดหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยที่ คสช. ต้องคิด คือ หลังจากยึดอำนาจแล้วต้องถอยให้เร็ว เพื่อแสดงให้เห็นว่า เข้ามาเพื่อสางปัญหาไม่ได้พิศวาสกับตำแหน่งผู้นำ เพราะหากนั่งแช่อยู่นาน อาจกลายเป็นการเจริญรอยตามจอมพลในอดีต ที่กลับตาลปัตร กลายเป็นทรราชเพราะติดใจความหอมหวานของอำนาจ
อีกทั้งการถอยช้า ยังจะเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายที่สูญเสียอำนาจอย่าง น.ช.ทักษิณ ตั้งตัวและปลุกระดมคนออกมาท้าทายฝ่ายทหารได้เหมือนกับตอนนี้ ที่เริ่มมีกันออกมาแล้ว ดังนั้น หากปล่อยไว้จนกระแสไหลไปฝั่งนั้น สุดท้าย คสช.จะทำงานได้ยาก
อย่าลืมว่า ครั้งนี้คสช.ยึดอำนาจ โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้า จนเกิดความสูญเสีย ไม่ได้ตีธงชัดว่า เหตุผลในการรัฐประหาร เนื่องจากรัฐบาลทำขัดหลักนิติรัฐ นิติธรรม มีการทุจริตโกงกินอย่างมหาศาล ฉะนั้น ฝ่ายตรงข้ามยังมีช่องให้ฟื้นอยู่
สำคัญคือ เมื่อมีเหตุผลแห่งการทุจริตคิดไม่ชอบ โกงกินบ้านเมือง ต้องตัดทางท่อน้ำเลี้ยงตระกูลเครือข่ายชินวัตรให้สิ้นซาก มิฉะนั้นก็จะใช้เม็ดเงินเดินเกมใต้ดิน ปลุกระดมขึ้นมาต่อต้านแบบจอมปลอมได้ไม่มีวันจบสิ้น
สถานการณ์หลังจากนี้ จึงเป็นช่วงของการแย่งชิงมวลชนอย่างแท้จริง วันนี้ คสช. ต้องซื้อใจประชาชนให้อยู่ ต้องเอามาเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้ได้ โดยทำให้ประชาชนเห็นว่า การยึดอำนาจครั้งนี้เพื่อทำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า หากทำได้ งานนี้ก็ผ่านฉลุย
แต่หากซื้อใจประชาชนไม่ได้ หนำซ้ำกลับทำให้รู้สึกอึดอัด เคลือบแคลงสงสัย จนแนวร่วมไหลไปอยู่กับอีกฝั่ง รับรองว่า สิ่งที่มุ่งหวังว่าจะทำ จะมีอุปสรรค กระทั่งสุดท้ายอาจล้มเหลวไม่เป็นอย่างหวัง
ระวังเรื่องแบบนี้จะทำให้เสียงานใหญ่ !!