วันที่ 27 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเกิดของพระธรรมโกษาจารย์ อันเป็นสมณศักดิ์ของท่านพุทธทาสภิกขุ มหาปราชญ์แห่งพุทธศาสนาในศตวรรษที่ 20
พุทธทาสภิกขุ เกิดวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2449 ละสังขารเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 ขณะที่อายุ 87 ปี
สมัยที่ท่านพุทธทาสภิกขุยังมีชีวิตอยู่ เมื่อถึงวันที่ 27 พฤษภาคมของทุกปี จะมีการฉลองวันเกิดที่เรียกว่า “วันล้ออายุ” ด้วยการ “ประหารอาสวกิเลสให้สิ้น”
วิธีการคือ ให้มีการอดอาหารทั้งวัน เพื่อพิสูจน์ว่า การอดอาหารวันเดียวนั้นไม่ตาย เหมือนทารกที่เพิ่งเกิด ยังกินอะไรไม่เป็นก็อยู่ได้เหมือนกัน ตลอดทั้งวันจะมีการฟังธรรม ปฏิบัติธรรม เพื่อประหารอาสวกิเลส คือ กิเลสที่หมักหมมอยู่ในสันดาน ไหลซึมซ่านไปย้อมจิตต์ เมื่อประสบอารมณ์ต่างๆ
สำหรับความหมายของคำว่า วันล้ออายุนั้น ท่านพุทธทาสอธิบายว่า
“การจัดงานในลักษณะที่เคยหลงอายุ รักอายุ ฉลองอายุ อะไรต่างๆ นี้ ควรจะเปลี่ยนเป็น ล้ออายุ เลิกอายุ แล้วก็เหนืออายุ นั่นแหละคือความหมายที่เป็นการเหนือกิเลส..ทำให้เป็นตัวอย่างที่คนข้างหลังจะถือเอาเป็นตัวอย่างได้ให้เป็นการทำลายกิเลส คือความเห็นแก่ตัว กูจะไม่เอากับมึง ความเห็นแก่ตัวในความหมายใดๆ ก็ดี”
“การล้ออายุ และการให้ของขวัญวันล้ออายุ อย่างที่กระทำกันอยู่ที่สวนโมกข์นั้น มีผลทางจิตใจในความไม่ประมาทและรู้จักตัวเองดีขึ้นทุกปี ขอฝากไว้สำหรับรักษากันไว้สืบต่อไปเพื่อความก้าวหน้าทางจิตใจของทุกคน”
งานวันล้ออายุจัดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2509 และจัดต่อเนื่องกันมา แม้เมื่อท่านละสังขารไปแล้ว ที่สวนโมกขพลารามก็ยังคงกิจกรรมนี้สืบมาทุกปี
คำสอนของท่านพุทธทาส ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่เคยล้าสมัย สามารถอธิบายปัญหา เหตุการณ์ร่วมสมัยได้อย่างทะลุปรุโปร่ง รวมทั้งทัศนะของท่านต่อเรื่องการเมืองที่ใช้หลักธรรมในการตีความ ชี้ให้เห้นถึงสาเหตุและทางออก ในวาระวันล้ออายุ 108 ปี ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงที่สุด จึงขอนำบางส่วนของความคิดเห็นของท่านในเรื่องการเมืองมานำเสนอ
การเมืองของโลกสมัยปัจจุบัน
“ โลกนี้ถูกครอบงำอยู่ด้วยระบบการเมืองหลายรูปแบบ แล้วก็พัวพันกันยุ่ง มีปฏิกิริยาต่อกัน คือการทำลายล้างกัน จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอย่างไร แต่ที่มันแน่ และมีอยู่แล้วรูปแบบเดียวก็คือว่า การเมืองชนิดนั้น ทั้งหมดนั้น มัน เป็นเพียงปฏิกิริยา ที่มัน กระเด็นออกมา จากการพยายามของกลุ่มที่มีอำนาจ กลุ่มที่มีอำนาจ ในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็เรียกว่า กลุ่มนายทุน โดยเฉพาะสมัยปัจจุบันนี้ กลุ่มนายทุนมีอำนาจมากที่สุดในโลก เขาบันดาลอะไรได้ทั้งนั้น แล้วก็อยู่หลังฉากด้วย ไม่แสดงตัวให้เห็น.
ทีนี้อำนาจที่มาจากบุคคลเหล่านี้ บันดาลให้เกิดเป็นอะไรขึ้นมา เป็นปฏิกิริยาต่อโลก นั่นแหละคือการเมืองของโลกในสมัยนี้ ไม่ประกอบอยู่ด้วยธรรม แล้วก็ไม่เป็นการเมืองที่เป็นไปตามเหตุผลตามธรรมชาติ หรือตามที่มันควรจะเป็นไป. แต่มันได้เป็นไป ภายใต้อำนาจของการบันดาลของกลุ่มที่ทรงอำนาจอย่างยิ่ง คือกลุ่มนี้.
อย่าเข้าใจว่า เราจะมานั่งนินทาด่าว่านายทุน เรากำลังพูดให้เห็นความจริงว่า โลกปัจจุบันนี้ มัน อยู่ในกำมือของนายทุนที่อยู่เบื้องหลัง คำว่านายทุนมันก็หลายรูปแบบ นายทุนตรงๆ เป็นพวกค้าเงิน นี้ก็มี นายทุนอำนาจผูกขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็มี นี้เป็นส่วนใหญ่ที่มีอยู่เป็นส่วนมาก.
ทีนี้ อีกทางหนึ่ง มันก็เป็นการเมือง ปฏิกิริยาของการต่อต้านพวกนายทุน หรือพวกที่ทรงอำนาจ พวกนี้ไม่ยอม ที่จะให้นายทุนแสดงบทบาท เขาพยายามที่จะต่อต้านนายทุน แต่แล้วก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า คนพวกต่อต้านนี้ เมื่อต่อต้านสำเร็จแล้ว ตนเองจะไม่กลับเป็นนายทุน ในแบบใดแบบหนึ่งไปเสียอีก เป็นนายทุนทางการเงิน หรือนายทุนศักดินาหรือนายทุนชนิดไหนก็ตาม มันมีอยู่หลายรูปแบบ....
นี่คือการเมืองของโลกสมัยปัจจุบัน”
ธรรมกับการเมือง
“ธรรม กับ การเมือง เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไร การเมืองก็กลายเป็นการทำลายโลกขึ้นมาทันที
นักปราชญ์การเมืองแต่โบราณ ขอร้องให้ทุกคนเป็นสัตว์การเมือง (Political animal) คือ มีหน้าที่สนใจการเมือง ร่วมกันจัดสังคมให้อยู่กันอย่างสงบสุขโดยไม่ต้องใช้อาชญา แต่คนสมัยนี้ทำได้มากเกินไป ขนาดที่เรียกว่า การเมืองขึ้นสมอง แล้วใช้การเมืองนั้นเอง เป็นเครื่องมือที่กอบโกย หรือฟาดฟันผู้อื่น ครอบงำผู้อื่น เพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว ดังนั้น แทนที่การเมืองจะตั้งอยู่ในฐานะเป็นเรื่องศีลธรรม ก็กลายเป็นเรื่องอุปัททวะจัญไร ในโลกไปเสีย.
เมื่อกล่าวโดยปรัชญาทางศีลธรรม การเมืองก็คือหน้าที่ของมนุษย์ ที่เขาจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ อันเฉียบขาด เพื่อผลคือ การอยู่กันอย่างผาสุก โดยไม่ต้องใช้อาชญา แต่เมื่อไม่มีการคำนึงถึงศีลธรรมกันเสียแล้ว การเมืองก็กลายเป็นเรื่องสกปรกสำหรับหลอกลวงกันอย่างไม่มีขอบเขต จนกระทั่งโลกนี้กลายเป็นโลกแห่งการหลอกลวงไปเสีย มีแต่สัตว์การเมือง ที่เป็นสัตว์เอาเสียจริงๆ กล่าวคือ บูชาเรื่องกิน-กาม-เกียรติ แทนสันติสุข.
มีใครสักกี่คน ที่เป็นนักการเมืองเพื่อเอาบุญด้วยการช่วยสร้างสันติภาพขึ้นในโลก ? และมีกี่คนที่เป็นนักการเมืองเพื่อตัวกู ของกู และมีผลกลายเป็นเรื่องของกิน-กาม-เกียรติ ที่เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว.
นักการเมืองที่แท้จริงต้องมีการสังกัดพรรค ขึ้นอยู่กับพระเป็นเจ้า ซึ่งเป็นยอดสุดของนักการเมือง โดยท่านมุ่งหมายจัดสากลจักรกลให้อยู่กันอย่างสงบสุขโดยไม่ต้องใช้อาชญา แต่มนุษย์เป็นอันธพาลเสียเอง จัดการเมืองอย่างเป็นพรรคของมารหรือกิเลส ซึ่งควรเปรียบด้วยภูตผีปีศาจ เพื่อกู ของกู โดยไม่ต้องมองดูประโยชน์ของผู้อื่น เป็นการท้าทายและเหยียบหยามพระเจ้า !
การเมืองที่แท้จริงสำหรับมนุษย์ต่องต้องตั้งรากฐานอยู่บนรากฐานทางศาสนาของทุกศาสนาที่มีอยู่ว่า “สัตว์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น” นักการเมืองที่มีธรรมสัจจะข้อนี้อยู่ในใจ ย่อมเป็นนักการเมืองของพระเจ้า การเคลื่อนไหวของเขาทุกกระเบียดนิ้ว มีแต่บุญกุศล จนกระทั่งกลายเป็นปูชนียบุคคลไป.
ขอภาวนาให้โลกเรามีนักการเมืองชนิดนั้น เป็นผู้จัดการโลกโดยทั่วไปเถิด.”
ต้องหว่านพืชธรรม ก่อนพืชประชาธิปไตย
“ประชาธิปไตยที่ว่าเป็นของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน นั้น ใช้ได้เฉพาะประชาชนที่มีธรรมเท่านั้น ถ้าประชาชนไม่มีธรรม มันก็กลายเป็นประชาธิปตายเท่านั้นเอง ดังนั้น ต้องหว่านพืชธรรมก่อนพืชประชาธิปไตย.
ประชาธิปไตยเพื่อลดหรือป้องกันความเห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ตัวก็มีแต่ประชาธิปตาย โดยไม่รู้สึกตัว ความไม่เห็นแก่ตัวจึงเป็นรากฐานของประชาธิปไตย ประชาธิปไตยแท้จึงมีแต่ความไม่เห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นของมีได้ยาก สำหรับปุถุชนสมัยนี้ที่บูชาวัตถุ.
ธรรมมีความเป็นประชาธิปไตยอยู่ในตัวเอง เพราะหมายถึง ความไม่เห็นแก่ตัว อยู่โดยธรรมชาติ อยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว”