xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” ตบปาก “เต้น” มโนนายกฯคนกลาง ฉุน ASTV ตัดต่อรูป-คงบังเกอร์ เหตุป่วนไม่เลิก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(แฟ้มภาพ)
“ประยุทธ์” ตอก “อำมาตย์เต้น” ผุดแคนดิเดตนายกฯคนกลาง คิดเอาเอง ทำเกลียดชังละเมิดสิทธิ ไล่แก้ปัญหาตัวเอง ไม่ตอบอยู่ในโผ ไม่เคยสนใจ รับ “ประวิตร” ก็รำคาญ ย้อนไปซี้ “เทือก” เรื่องอะไร ขอให้เชื่อคำศาล ยันปัญหาไม่เริ่มที่ทหาร ย้ำต้องลดขัดแย้งก่อน หาสาเหตุให้เจอ งง ถ่ายรูปกับ “หลวงปู่” ผิดอะไรชี้ใครจะรู้ไปเคลื่อนไหว ฉะ ASTV ใจทรามตัดต่อภาพ ทบ.คงจุดตรวจบังเกอร์ เหตุป่วนไม่เลิก แม้ปรับใช้ พ.ร.บ.มั่นคง

วันนี้ (25 มี.ค.) ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ททบ.5) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกมาเปิดเผยชื่อนายกรัฐมนตรีคนกลางว่า ต้องไปถามคนพูดเพราะตนไม่ได้เกี่ยวข้อง และไม่ได้อยู่ในกระบวนการอะไร คิดว่าถ้าทุกพวกทุกฝ่ายจับคำพูดของแต่ละพวกมาเป็นอารมณ์ มาแสวงหาคำตอบก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งมาขึ้นเรื่อยๆ ตนอยากให้ลดคู่ขัดแย้งลงไปบ้าง ตนไม่ทราบว่าคนพูดๆ ด้วยวัตถุประสงค์อะไร แต่เท่าที่สอบถามจากฝ่ายประชาสัมพันธ์กองทัพบกบอกว่าเขาคิดและประเมินสถานการณ์ขึ้นมาเอง สิ่งสำคัญคือตนจะเตือนสังคมว่า การจะพูดจาอะไรออกไปหากท่านพูดจาที่ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเรื่องที่คิดกันขึ้นมาเอง เป็นเรื่องที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลมันก็เหมือนดูถูกฟังเอาเปรียบคนที่ถูกกล่าวถึง เพราะเขาไม่มีโอกาสตอบโต้ ซึ่งทุกท่านเป็นผู้มีเกียรติทั้งสิ้น การพูดจาที่ไม่มีหลักฐานใช้การประเมิน และวิเคราะห์ทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสังคม ทำให้ประชาชนดูหมิ่นเกลียดชัง ถือว่าไม่เป็นธรรม และถือว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของเขา คิดว่าคนพูดต้องไปหาทางแก้ปัญหาของตัวเองให้ได้เสียก่อน ทั้งเรื่องคดีความ ปัญหาเรื่องข้าว ปัญหาของชาวนา ในฐานะที่เป็นอดีตรัฐมนตรี อย่ามาพูดเรื่องอื่นที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน

เมื่อถามถึงกรณีที่ นายณัฐวุฒิ ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหนึ่งในแคนดิเดตเป็นนายกรัฐมนตรีคนกลางด้วยนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องไปถามเขา เขาตั้งตนได้ไหม ถ้าตั้งไม่ได้แล้วจะมาถามตนทำไม แล้วถามจะไปเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยกติกาไหน และกติกาจะเกิดหรือไม่ตนก็ไม่รู้ แต่อย่าถามตนว่า ตนจะทำนั่นทำนี่หรือไม่ ตนไม่ตอบ เพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตน ไม่ใช่เรื่องของตน

เมื่อถามถึงกรณีที่มีชื่อของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม เป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนกลาง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ท่านไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้บอกว่าท่านอยากจะเป็น หรือใครจะมาบอกให้ท่านเป็นก็ไม่มี ไม่มีคนพูด ไม่มีคนมาขอร้อง ไม่มีคนมาถาม มีแต่คนพูดกันไปมาต้องไปหาต้นตอว่าพูดกันมาเพราะอะไร ต้องการหวังผลอะไร และตนไม่เคยคุยอะไรในเรื่องพวกนี้ในเรื่องที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนกลาง และ พล.อ.ประวิตร ก็รำคาญ แต่ถามว่ารักบ้านเมืองหรือไม่ ท่านก็รัก เพราะทหารทุกคนรักหมด เพราะถ้าไม่รักบ้านเมืองแสดงว่าไม่ใช่ทหาร ถ้าเป็นทหารแล้ววางตัวไม่เหมาะสม ทำผิดร้ายแรง ตนถือว่าไม่ใช่ทหาร ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของทหาร แต่ถ้าผิดธรรมดาก็ลงโทษกันไปก็จบ แต่ถ้าผิดต่อชาติบ้านเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตนรับไม่ได้

เมื่อถามว่า มีการมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร มีความสนิทสนมกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า “ผมสนิทกับคุณสุเทพเรื่องอะไร เพราะท่านเคยเป็นรัฐบาลจะให้ผมสนิทกับใคร เพราะผมทำงานมากับทุกรัฐบาล ไม่เห็นมีปัญหา ส่วนจะถูกหรือผิดจะต้องว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ว่าให้ทุกคนเบาะแว้งกันไปทั้งหมด ท่านก็มีคดีของท่าน ท่านก็ไปสู้คดี และท่านก็บอกว่ายินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และเข้ามอบตัว ซึ่งเป็นเรื่องของท่าน ก้าวล่วงไม่ได้ ส่วนจะถูกหรือผิดต้องเชื่อมั่นกระบวนการศาล ถ้าศาลว่าอย่างไรผมก็เอาตามนั้น ตนไม่สามารถตอบโต้กระบวนการยุติธรรมได้ ถ้าบอกว่าผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ผมจะไม่งอแง ไม่ใช่ว่าตัดสินเข้าข้างผมแล้วผมชอบ ผมต้องดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา ต้องยึดถือแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง และเป็นกระบวนการที่ยอมรับในสังคมโลก ถ้าไม่ยอมรับกันก็ไม่รู้ว่าจะอยู่กันด้วยอะไร หรือจะให้รบราฆ่าฟันเหมือนสมัยโบราณ”

เมื่อถามว่า มองว่าการตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลางจะเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่รู้ ตนตอบไม่ได้ ความขัดแย้งมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่เคยมีบทเรียนเสียที ต้องแก้ปัญหาประเทศชาติไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่ยังกลับไปสู่วังวนอันเก่า จึงต้องกลับมาทบทวนว่าปัญหาเกิดจากอะไร เกิดจากใคร แต่ปัญหาทั้งหมดไม่ได้เริ่มต้นที่ทหาร และทุกครั้งไม่เคยเริ่มต้นที่ทหาร ทหารไม่เคยขัดแย้งกับใคร แต่มีการเริ่มต้นกันมาก่อน และทหารก็ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องทุกครั้งเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย วันนี้ทหารออกมาทำงานในกรอบของ ศอ.รส.ไม่เคยออกมาทำงานโดยอิสระ ทหารออกมาด้วยกฎหมาย ตนไม่เคยออกมาด้วยอำนาจทหารเลย กองทัพไม่ใช่องค์กรที่อยู่เหนือกฎหมาย ทั้งนี้หากมีการเลือกตั้งตนก็พร้อมสนับสนุน

“ทางออกมีอยู่แล้วไปหากันเอง ผมพูดมา 3 ปีครึ่ง มีคำแนะนำ 100 กว่าอย่าง แต่ไม่เอาสักอย่างก็ช่วยไม่ได้ ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาบ้านเมือง หากมีความขัดแย้งประชาชนก็ต้องแก้ปัญหากับประชาชนด้วยกัน ไม่ใช่ทั้งหมดอีรุงตุงนังโยงใยไปหมด ใครก็แก้ไม่ได้ ผมเคยบอกไว้แล้ว ต้องลดความขัดแย้งของประชาชนให้ได้เสียก่อน ประชาชนต้องไม่ตีกัน เช่น ตีพระ ชกพระ จะบอกว่า กปปส.มีพระ มันคนละเรื่องกัน มันบาปกรรม ต้องดูแต่ละกรรมที่คนปฏิบัติ ว่าร้ายแรงแค่ไหนอย่างไร อย่าไปมองว่าข้างนี้ข้างนั้น อย่างนี้ตำรวจและศาลทำงานไม่ได้ ต้องมองว่าทำผิดหรือถูก ร้ายแรงหรือไม่ใครเป็นคนทำ ใครยิงเอ็ม 79 ใครยิงเอ็ม 16 เป้าหมายคือใคร สาเหตุคืออะไร ต้องหาให้เจอว่าใครยิงเพราะอะไร” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่า กรณีที่มีภาพถ่ายรูปหมู่ร่วมกันระหว่างหลวงปู่พุทธะอิสระ กับ พล.อ.ประยุทธ์ และอดีต ผบ.ทบ.ขณะไปทำบุญที่วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทำไม ผิดตรงไหน วันหนึ่งตนถ่ายรูปห้าร้อยรูป ถ้าเขาขอถ่ายตนก็ถ่าย ซึ่งวันนั้นตนทำบุญร่วมกับท่านที่วัด เมื่อเขาถ่ายรูปกันตนก็ถ่าย และตนจะรู้หรือไม่ว่าวันนี้หลวงปู่จะมาเคลื่อนไหว ตนไม่ใช่หมอดูว่าในวันข้างหน้าใครจะทำอะไร ให้ความเป็นธรรมกับตนหน่อย ถ้าทุกคนกลับไปทำงานตามหน้าที่ของตนเอง และไม่ต้องเอาทุกอย่างมายึดโยงกัน เพราะทุกอย่างถูกลากเชื่อมโยงกันไปหมด เขียนเสือให้วัวกลัวกันไปมา จนยอมกันไม่ได้ ไม่มีใครแก้ได้ด้วย ไม่มีใครชนะกันด้วย

เมื่อถามว่า มีคนตั้งความหวังกับ พล.อ.ประยุทธ์ ในการแก้ไขปัญหากับประเทศชาติ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขอบคุณ ตนก็เป็นความหวังของครอบครัวและกองทัพบกอยู่แล้ว ตนไม่ได้เลิศเลออะไรมากมาย ไม่ใช่ว่ามีคนตั้งความหวังแล้วตนจะต้องพองตัวดีใจ เมื่อถามถึงกรณีที่มีการตัดต่อภาพ พล.อ.ประยุทธ์ ล้อเลียนเสียดสีทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวสั้นๆ ว่า ก็จิตใจมันต่ำทราม

ด้าน พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่มีประชาชนบางส่วนต้องการให้ลดจำนวนจุดตรวจเฝ้าระวังของเจ้าหน้าที่ทหาร หลังจากรัฐบาลประกาศยกเลิกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็น พ.ร.บ.ความมั่นคง ว่าในมุมของหน่วยผู้ปฏิบัติในเรื่องการป้องกันเฝ้าระวังเหตุต่างๆ หน่วยงานความมั่นคงได้พิจารณาจากเหตุความรุนแรงที่ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ทั้งในปัจจุบันและแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ตราบใดที่ยังมีเหตุการณ์ความรุนแรงด้วยการใช้อาวุธและระเบิดในพื้นที่ชุมชนเมือง หรือในพื้นที่โดยรอบอย่างต่อเนื่องในลักษณะเช่นนี้นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสังคม

โดยเฉพาะในขณะที่สังคมภายในและภายนอกต่างเฝ้าจับตา หน่วยงานความมั่นคงไม่สามารถเพิกเฉยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ โดยที่จะไม่พยายามป้องกัน ระงับยับยั้ง หรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดก็คงเป็นไปไม่ได้ ที่ผ่านมาภาครัฐโดยหน่วยงานความมั่นคงในระดับผู้ปฏิบัติได้ใช้วิธีการจัดตั้งจุดตรวจร่วม จุดตรวจเพื่อความมั่นคง เพื่อเฝ้าระวังป้องกัน ยับยั้ง และป้องปราบการใช้ความรุนแรงเป็นมาตรการหลัก ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงต้นสถานการณ์ภายใต้การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ในขณะนั้น ต่อมาได้มีพัฒนายกระดับไปใช้เป็นประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และในล่าสุดลดระดับกลับมาสู่การใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เหมือนเดิม ซึ่งจะเห็นว่าถึงแม้ระดับของการบังคับใช้กฎหมายจะเปลี่ยนไป แต่เหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงตาม แต่กลับมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น และยังอาจจะต้องระมัดระวังเพิ่มเติมในเรื่องเหตุเผชิญหน้ากันของมวลชนแต่ละกลุ่ม จึงยังคงจำเป็นต้องใช้มาตรการนี้อยู่เหมือนเดิม อีกทั้งอาจจะต้องมีการปรับเสริมให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมทันกับสถานการณ์ที่ยังมีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาด้วย

พ.อ.วินธัย กล่าวต่อว่า บางฝ่ายที่ต้องการให้เจ้าหน้าที่ลดกำลังลง หรือให้เจ้าหน้าที่หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น น่าจะเป็นความต้องการที่ค่อนข้างยังสวนทางตรงข้ามกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง โดยพิจารณาเทียบกับสถิติของเหตุการณ์ความรุนแรงที่ยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือถ้าจะให้เป็นเช่นนั้นแล้วจะมีใครหรือองค์กรไหนที่สามารถออกมารับประกันความปลอดภัยให้กับประชาชน และรับประกันในเรื่องเหตุรุนแรงว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกได้ ไม่อยากให้พิจารณาด้วยการมีอคติตามแนวทางของกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด อยากให้นึกถึงสังคมโดยรวมอย่างแท้จริง ฉะนั้นถ้ายังไม่มีใครรับประกันได้ หรือยังไม่มีมาตรการอื่นมาทดแทนก็ควรจะต้องช่วยกันบริหารใช้แนวทางมาตรการที่มีอยู่แล้วให้ดีที่สุด ขอให้ประชาชนได้เข้าใจว่าในช่วงสถานการณ์ไม่ปกติเช่นนี้ที่ทางภาครัฐจำเป็นจะต้องบูรณะการกำลังเจ้าหน้าที่ ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ภายใต้กรอบกฎหมายพิเศษมาช่วยกันแก้ปัญหา ไม่ได้ดำเนินการโดยองค์กรหนึ่งองค์กรใดแต่ผู้เดียว เพื่อร่วมกันเฝ้าระวังและป้องกันเหตุรุนแรงที่ยังคงมีอยู่ รวมทั้งป้องกันและลดเกณฑ์เสี่ยงที่จะเกิดอันตรายในกรณีมีการเผชิญหน้าของกลุ่มมวลชนทุกกลุ่ม ซึ่งล้วนเป็นคนไทยด้วยกัน เพื่อให้ทุกคนทุกกลุ่มมีความปลอดภัย


กำลังโหลดความคิดเห็น