“ธาริต” เผยผลถก ศรส. “เฉลิม” สั่งเร่งจับแกนนำ กปปส. โดยเฉพาะการ์ด แจงรายงาน ตร. เหตุขวางเลือกตั้งมี 156 คดี รวม 288 คดี ออกหมายจับแล้ว 44 คน ที่ราชการเปิดแล้ว 48 แห่ง แม้ยังมีไปป่วน ยันเลี่ยงปะทะ แต่ไม่นิ่งเฉย จี้หยุดปิดที่ราชการ เตรียมสั่งระงับการทำธุรกรรม “ดร.เสรี” พรุ่งนี้ ด้าน ดีเอสไอ – ตร. – อัยการ เตรียมแถลงศาล 15 ก.พ.นี้ ขอฝากขัง “สนธิญาณ” 12 วัน ข้อหากบฎ
วันนี้ (13 ก.พ.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงผลการประชุมศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) วันนี้ โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผู้อำนวยการ ศรส.ได้สั่งการและกำชับเจ้าหน้าที่ของ ศรส.ให้เร่งรัดการเข้าจับกุมแกนนำผู้กระทำผิดของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ทั้งที่ศาลได้อนุมัติออกหมายจับไว้และผู้กระทำผิดซึ่งหน้า โดยเฉพาะการ์ดที่ให้การคุ้มกันผู้ถูกออกหมายจับ โดยให้พิจารณาดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสม
ศรส.ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาค ถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส.และแนวร่วม กรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้งด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง ขณะนี้มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ 156 คดี คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต.จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง 132 คดี รวมคดีทั้งสิ้น 288 คดี และศาลได้ออกหมายจับให้แล้ว 44 คน
สำหรับการทยอยเปิดสถานที่ราชการนั้น ขณะนี้ล่าสุดสามารถเปิดสถานที่ราชการได้แล้ว 48 แห่ง อย่างไรก็ตาม แกนนำ กปปส.บางกลุ่มยังพยายามส่งมวลชนไปรบกวนการเปิดสถานที่ทำการของส่วนราชการ เช่นเมื่อวานนี้ที่กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่ง ศรส.ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าผลักดันและต้องใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง กลุ่ม กปปส.จึงกลับไป
“ศรส.พยายามหลีกเลี่ยงการใช้กำลังปะทะที่รุนแรง แต่ก็มิได้นิ่งเฉย ศรส.ขอร้องกลุ่ม กปปส.ให้เห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการปิดสถานที่ราชการเป็นสำคัญ โดยขอให้ยุติการรบกวนการเปิดสถานที่ราชการด้วย” นายธาริตกล่าว
นายธาริต กล่าวถึงกรณีศาลอาญายกคำร้องขอคุมตัวนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม แกนนำ กปปส. อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวทีนิวส์ ต่ออีก 7 วัน ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ว่า เนื่องจากนายสนธิญาณ เป็นผู้ต้องหาร่วมกันกบฎตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ด้วย ดังนั้นในวันเสาร์ที่ 15 ก.พ.นี้ ซึ่งศาลเปิดทำการครึ่งวัน ดีเอสไอ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และอัยการ จะร่วมแถลงศาลขอฝากขังนายสนธิญาณ ตามกำหนด 12 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในข้อหากบฎตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 เพื่อให้ศาลสั่งขัง ส่วนจะได้รับการประกันตัวหรือไม่เป็นเรื่องของนายสนธิญาณกับศาล โดยถือว่าเป็นการยกระดับจากความผิดตามพรก.ฉุกเฉินฯซึ่งถือเป็นความผิดเล็กน้อย มาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ในข้อหากบฎซึ่งเป็นข้อหาหนัก และมีโทษรุนแรงกว่าความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งไม่ได้หมายความว่านายสนธิญาณ จะได้รับการปล่อยตัวไปเฉยๆ เพราะต้องรอดูกระบวนการของศาลในวันที่ 15 ก.พ.นี้ ด้วย ซึ่งต้องรอดูว่าศาลจะให้ขังหรือให้ประกัน
ส่วนกรณีศาลแพ่งสั่งห้ามดีเอสไออายัดบัญชีของ นายเสรี วงษ์มณฑา แนวร่วมกปปส.นั้น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศรส.เป็นอำนาจการสอบสวนของดีเอสไอโดยตรง ซึ่งนายเสรี กับพวกรวม 7 คน ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกันกบฎ จากการสอบสวนร่วมกันสามฝ่ายคือ ดีเอสไอ ตำรวจ และอัยการ ได้แจ้งข้อหาแกนนำกปปส. 58 คน และมีคำสั่งอายัดเงินในบัญชีพร้อมตรวจสอบซึ่งเป็นการใช้อำนาจตาม มาตรา 124 พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งนายเสรีได้ร้องต่อศาลแพ่ง โดยศาลไต่สวนมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว แต่ก็สั่งว่านายเสรีกับพวกรวม 7 คน ต้องทำคำรับรองกับศาลว่าจะไม่เบิกเงินไปทำให้เกิดความเสียหาย ก่อนจะให้ดีเอสไอปลดการอายัด ซึ่งดีเอสไอ ไม่ขัดข้อง และพร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่งศาล และยกเลิกให้ทั้งหมด แต่ในทางปฏิบัติศรส.ก็จะมีคำสั่งภายในวันพรุ่งนี้ (14 ก.พ.) หรือวันถัดไป ในการสั่งระงับการทำธุรกรรม ซึ่งมีผลแบบเดียวกับการอายัด โดยเปลี่ยนมาใช้กฎหมายตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งสามารถดำเนินการสั่งระงับ รวมถึงเชิญให้มาชี้แจงได้