คนร้ายบุกยิง คปท. หวังทำร้ายการ์ด แต่โดนคนขับแท็กซี่ที่มาร่วมชุมนุม กระสุนเข้ากลางหลังทะลุด้านหน้า นำตัวส่งโรงพยาบาลรามาธิบดี แพทย์ทำการผ่าตัดรักษาอาการปลอดภัยแล้ว ด้าน “อมร” ขอกล่าวโทษตำรวจ เหตุมีการตั้งด่านแต่ยังปล่อยให้รถที่มีอาวุธสงครามเข้ามาได้ พร้อมระบุการรวมเวทีทำได้ยากเพราะต่างมีบุคลิกเฉพาะ อาจส่งผลต่อบรรยากาศการชุมนุม
วันที่ 30 ธ.ค. เมื่อเวลาประมาณ 23.50 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเกิดเหตุคนร้ายลอบยิงผู้ชุมนุมเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 1 ราย โดยถูกยิงเข้าบริเวณกลางหลังทะลุด้านหน้า ทราบชื่อต่อมาคือ นายปกเกศ บุญยก อายุ 43 ปี คนขับแท็กซี่รับจ้าง สีชมพู ทะเบียน ทม 1462 กรุงเทพมหานคร ที่มาร่วมชุมนุม โดยถูกนำตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี แพทย์ได้ทำการผ่าตัดรักษาอาการปลอดภัยแล้ว นอกจากนี้มีพยานเห็นว่าคนร้ายขับขี่รถกระบะสีบรอนซ์ ยังไม่ทราบยี่ห้อและทะเบียนเข้ามาก่อเหตุดังกล่าว
ล่าสุดเช้านี้ นายอมร อมรรัตนานนท์ พิธีกรบนเวที คปท.ได้ให้สัมภาษณ์กับทางเอเอสทีวีว่า ระบบรักษาความปลอดภัยของ คปท.ได้ขยายแนวป้องกันแต่ละด้านออกไปจนค่อนข้างอยู่ในแนวที่ปลอดภัยด้านชมัยมรุเชฐขยายไปถึงนางเลิ้ง ด้านมิสกวันขยายไปถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ขยายแนวเพื่อป้องกันการยิงเอ็ม 79 เข้ามาในพื้นที่ชุมนุม ซึ่งเราก็สกัดได้ในระดับหนึ่ง
แต่เหตุการณ์เมื่อคืนคนร้ายได้เข้ามาเลียบแนวป้องกันแล้วยิงกระสุนใส่ เป้าหมายต้องการทำลายการ์ดอาสา แต่ช่วงนั้นพอดีมีแท็กซี่ที่มาร่วมชุมนุมกำลังจอดรถตรงบริเวณแยกสวนมิสกวัน ด้านประตู 5 ตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการ จึงโดนกระสุนเข้าไป จากนั้นได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลรามาธิบดี เข้ารับการผ่าตัดได้ทัน ล่าสุดอาการปลอดภัยแล้ว
นายอมรกล่าวอีกว่า ต้องขอกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะด้านสะพานเลียบคลองตรงกระทรวงศึกษาธิการ มีด่านตำรวจตั้งชัดเจน แต่ขณะมีด่านยังปล่อยให้รถที่มีอาวุธสงครามเข้ามายิงพี่น้องประชาชนได้ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะหละหลวมก็เป็นการรู้เห็นเป็นใจ
นอกจากนี้ ในบริเวณพื้นที่ชุมนุมของกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) ก็ได้มีเสียงระเบิดดังต่อเนื่องตลอดทั้งคืน แสดงให้เห็นว่าเป็นการทำงานที่วางแผนก่อกวนในหลายจุด
ทั้งนี้ ตนอยากให้ประชาชนมั่นคงในการรับฟังข่าวสาร ควรรับข่าวสารจากแต่ละเวทีโดยตรง เพราะในโลกสังคมออนไลน์มีการปล่อยข่าวลือจำนวนมาก ทำให้สังคมตื่นตระหนก เกิดความวิตกกังวล และอาจเป็นผลเสียต่อกระบวนการต่อสู้ทั้งหมด
เมื่อถามถึงกรณีการรวมเวทีเป็นหนึ่งเดียวเพื่อความปลอดภัย นายอมรกล่าวว่า การรวมเป็นหนึ่งเดียวเรารวมกันอยู่แล้วในเชิงเป้าหมายและยุทธศาสตร์ แต่ว่าองค์ประกอบของผู้ชุมนุม ระดับการรับรู้ทางการเมืองมีความต่างกัน สีสันเนื้อหาบนเวทีจึงต้องทำให้สอดคล้องกับผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นบุคลิกเฉพาะ ถ้ารวมกันอาจมีผลต่อบรรยากาศการชุมนุม