เปิดเอกสารลับสุดยอดฝ่ายค้าน! ยื่นถอดถอน “ยิ่งลักษณ์” ชี้จงใจปฏิบัติหน้าที่มิชอบทั้งโครงการจำนำข้าว กู้เงินน้ำเกินเวลา ไม่จัดทำราคากลางส่งผลให้มีการทุจริตอย่างกว้างขวาง ด้าน “ปลอด” ปากเป็นพิษห้าวปราศรัยเชียงใหม่ เข้าข่ายเลือกปฏิบัติ ส่วน “จารุพงศ์” มีชนักติดหลังข้อหารับสินบน
วันนี้ (26 พ.ย.) การประชุมสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายไม่ไว้วางใจที่รัฐสภา นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายย้ำในประเด็นการออก พ.ร.บ.นริโทษกรรม ว่าจริงๆ เป็นกฎหมายการเงินที่นายกรัฐมนตรีพยายามหลีกเลี่ยงจะลงนาม โดยอ้างว่าเป็นอำนาจวินิจฉัยของประธานสภาผู้แทนราษฎร เพราะถ้าลงนามจะเสี่ยงต่อผลประโยชน์ขัดกัน มาตรา 122 เนื่องจากนายกจะได้เงินคืน 982 ล้านจากกองเงิน 4 หมื่น 6 พันล้านที่ศาลฎีกาแผนกดดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งยึดทรัพย์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอภิปรายของนายอรรถวิชช์ทำให้สมาชิกพรรคเพี่อไทยทยอยลุกขึ้นประท้วง และเห็นว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจบไปแล้ว เพราะวุฒิสภาตีตก รวมทั้งไม่ได้มีการยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีในประเด็นนี้ การที่ประธานที่ประชุมปล่อยให้การอภิปรายต่อไปจึงเป็นการขัดต่อข้อบังคับการประชุม ดังนั้นจึงควรให้มีการยุติการอภิปรายในเรื่องนี้
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับเอกสารลับสุดยอดที่เป็นประเด็นข้อกล่าวหาถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย และนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ที่วิปฝ่ายค้านไม่ยินยอมให้สภาแจกจ่ายให้สมาชิกก่อนการอภิปราย จนนายสมศักดิ์ได้ใช้อำนาจประธานวินิจฉัยสั่งให้มีการแจกจ่าย
โดยมีเนื้อหาสาระสำคัญ เช่น กรณีถอดถอนนายกรัฐมนตรีในหลายพฤติกรรม ที่เข้าลักษณะต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 ประกอบด้วย การเพิกเฉยต่อพระราชบัญญัติ ป.ป.ช.มาตรา 103/7 ที่กำหนดให้รัฐต้องจัดทำข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายการจัดซื้อจัดจ้าง และการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้มีการทุจริตอย่างกว้างขวาง ไม่ดำเนินการจัดทำรายละเอียด ถือว่าเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 รวมถึงกรณีโครงการจำนำข้าว ที่ปล่อยให้มีการทุจริตอย่างกว้างขวาง สร้างผลกระทบต่อหลายฝ่าย กรณีใช้การจ่ายเงินกู้ในโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ที่กระทรวงการคลังมีการกู้เงินหลังจากวันที่ 30 มิ.ย. 56 ที่ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงคลังกู้เงินเพื่อบริหารจัดการน้ำกำหนดว่าต้องกู้ให้เล้วเสร็จภายในวันดังกล่าว โดยพบว่ามีการขอกู้หลังวันที่ 30 มิ.ย. รวม 2 ครั้ง วงเงิน 4 พันล้านบาท จึงถือว่าเข้าข่ายผิดมาตรา 3 ของ พ.ร.ก.เดียวกัน
ส่วนนายปลอดประสพนั้น เป็นการถอดถอนในข้อหาจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อกฎหมาย จากกรณีปราศรัยบนเวทีเพื่อไทย เพื่ออนาคตประเทศไทย ที่ จ.เชียงใหม่ โดยมีเนื้อหาลักษณะว่าหากใครไม่เลือกพรรคเพื่อไทย รัฐบาลก็จะไม่ให้การดูแล ส่อให้เห็นถึงพฤติกรรมว่าไม่สนใจใยดีต่อกฎหมายบ้านเมือง เลือกปฏิบัติ ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 30 ขณะที่พฤติกรรมที่นำไปสู่การถอดถอนนายจารุพงศ์ เป็นกรณีขัดรัฐธรรมนูญ 265 และ พ.ร.บ. ป.ป.ช.มาตรา 103 ที่ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐรับสินบน หรืออประโยชน์อื่นใดนอกเหนือจากทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันควรได้ตามกฎหมาย