เกาะกระแส
00 นาทีนี้ไม่ต้องถามแล้วว่า รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หุ่นเชิดของพี่ชาย คือ ทักษิณ ชินวัตร จะอยู่หรือไป เพราะถือว่า "หมดความชอบธรรม"และ "หมดสภาพ"ไปเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันก็อยากเห็นความ "หน้าด้าน"ของคนพวกนี้สำหรับการ "ดันทุรัง"ดิ้นรนกุมอำนาจรัฐต่อไป เพราะนั่นเท่ากับว่าจะทำให้สังคมได้เห็นธาตุแท้ ได้เห็น"ความเห็นแก่ตัว"ของคนในครอบครัวมากขึ้นไปอีก เพื่อในวันหน้าจะได้ไม่ต้องคาราคาซังกันในภายหน้าอีก
00 ด้วยพลังของมหาประชาชนที่หลั่งไหลออกมา "ขับไล่ระบอบทักษิณ" ซึ่งก็หมายถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ครอบครัวของ ทักษิณ รวมถึงบรรดาขี้ข้าที่มีทั้งนีกการเมืองในสภาและกลไกข้าราชการ ซึ่งภาพที่สะท้อนออกมาเมื่อวันที่ 24 พย.56 ถือว่า "มหาศาลเกินคาด" เป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะเดียวกันนี่คือปรากฏการณ์เป็น "กระแสแห่งความเกลียด"ของสังคมที่มีต่อ ทักษิณกับครอบครัว รวมทั้งบรรดา "ขี้ข้า"ที่เกาะกิน สูบเลือดสูบเนื้อยึดเอาทรัพย์สินของชาติไปเป็นของส่วนตัว
00 ในตอนแรกที่เข้ามาก็ทำดีอกให้เจ้าของบ้านรักและตายใจ แต่นานไปก็รุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ เข้ามายึดทรัพย์ในบ้านเรื่อยๆ จนกระทั่งกำลังจะฮุบทุกอย่างในบ้านยังดีที่ไหวตัวทัน พยายามดิ้นรนขับไล่ออกไป แม้ว่าเกือบสายไปแล้วก็ตาม ดังนั้นภาพที่เห็นในเวลานี้ถือว่านี่คือ "พลังตอบโต้"ของสังคมที่มีต่อคนพวกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งยื้อ ยิ่งใช้วิชามารมากเท่าใดก็จะยิ่ง "เรียกแขก"ออกมา เหมือนกับที่เห็นก่อนหน้าที่ใช้สารพัดวิชามาร แต่ก็ล้มเหลว กลับกลายเป็นแรงดึงดูดให้ชาวบ้านหลังไหลกันออกมาอย่างที่เห็น
00 นาทีนี้หากพิจารณาจาก"กระแส"ของมวลชนเวลานี้เชื่อว่า"ไปไกล"แล้ว นั่นคือถึงขั้น "ปฏิรูปขนานใหญ่"เพราะสร้างการเมืองใหม่ โครงสร้างอำนาจใหม่ที่ต้องมีระบบการ "ถ่วงดุล-ตรวจสอบ"ที่เป็นอิสระเป็นกลางและมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญประชาชนต้องช่วยกันออกแบบ แล้วบังคับให้นักการเมืองข้าราชการนำไปปฏิบัติ และที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า นักการเมืองต้อง "อาสา"เป็นเสียสละ ไม่ใช่เข้ามาเพื่อหวังกอบโกยหรือเป็นการ"ลงทุนเป็นธุรกิจการเมือง"อย่างที่ ทักษิณ ชินวัตร กำลังขยายความร่ำรวยและเพิ่มอำนาจอยู่ในเวลานี้
00 ดูเหมือนว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะแกนนำม็อบครั้งนี้จะเข้าใจดีถึงอารมณ์ของมวลชน ถึงได้บอกว่า การ"ยุบสภาหรือลาออก"ของรัฐบาลไม่ใช่คำตอบ แม้ว่ายังไม่พูดชัดเจนว่าจะเอาไงต่อ แต่ที่ผ่านมาหากจับอาการก็พอรู้แล้วว่ามาถึงขั้นนี้ก็ต้องเดินไปตาม"กระแสมวลชน"กำหนดนั่นคือ "ปลายทางปฏิรูป"เท่านั้น การพูดดักคอไว้ล่วงหน้าว่า ยุบสภาหรือลาออกไม่พอ เพราะพิจารณาจากแนวโน้มแล้วเห็นชัดว่า หลังศึกซักฟอกราววันที่ 26-27 พย.ยิ่งลักษณ์ ก็จะชิงยุบสภา อ้างแบบหรูๆว่า "คืนอำนาจให้ประชาชน" หวังว่าด้วยกลไกและฐานมวลชนที่ยังมีเหลืออยู่ประกอบกับกลไกข้าราชการที่แพ็กประโยชน์กันแน่นคิดว่าจะชนะได้อีก แม้ว่าจะ "ลดลง"แต่ก็มั่นใจว่าชนะเพื่อสร้างความชอบธรรมใหม่อีก ดังนั้น เมื่อรู้ว่าเกมของฝ่ายระบอบทักษิณต้องเป็นแบบนี้แน่ แต่งานนี้ชาวบ้านเขา"ร้ทัน"และไปไกลลิบอย่างที่ว่าตั้งแต่ต้นแล้ว ช้าไปแล้วแม้วเอ๋ย เพราะต้องปฏิรูปเพื่อล้างระบอบทักษิณ"ให้สิ้นซาก"เท่านั้น
00 ยิ่งดิ้นก็ยิ่งสมเพชที่เวลานี้ ทั้งยิ่งลักษณ์ ทั้งขี้ข้าในรัฐบาลออกมาประสานเสียงกลับเข้าสภา นั้นคือมีอะไรก็ให้ไปพูดคุยกันในสภา ยิ่งพูดก็ยิ่งกวนประสาท ทั้งที่รู้อยู้แล้วว่านั่นคือ "สภาทาส" ตัวประธานสภาตั้งแต่ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และประธานวุฒิฯ นิคม ไวยรัชพานิช และสมาชิกอีก 312 คนหมดสภาพไปแล้วจากการแสดงอาการขัดขืนปฏิเสธอำนาจศาลรธน.เท่ากับว่าหมดสิ้นสภาพไปทันที ไม่ต่างจากพวก "โจรถ่อย" และถามสักคำว่าคนอย่างยิ่งลักษณ์ ที่ยังมีหน้ามาพูดว่ามีอะไรให้ไปพูดกันในสภา แล้วที่ผ่านมาตัวเองเคยไปสภากี่ครั้ง เคยไปตอบคำถามหรือชี้แจงสภากี่ครั้ง นี่หรือผู้นำที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยเคารพอำนาจประชาชน ทุด !!
00 ทุกครั้งที่เกิดการชุมนุมก็มักจะมีปรากฏการณ์ใหม่ๆเกิดขึ้นเสมอ จากปี 35 เป็น"ม็อบมือถือ"จนเกิดรัฐธรรมนูญใหม่ปี 40 ที่ถือว่าดีฉบับหนึ่งและเป็นต้นแบบให้มีการอุดช่องโหว่ในรธน.ฉบับปี 50 และการชุมนุมคราวนี้ก็เช่นเดียวกันมีปรากฏการณ์"โซเชียลเน็ตเวิร์ค" เข้ามาแทนที่ "สื่อหลัก"ชนิดที่เรียกว่า "ฟรีทีวีตายแล้ว" เพราะแม้ว่าฟรีทีวีพวกนั้นทั้งช่อง 3-5-7-9-11 จะพยายามจงใจไม่นำเสนอรายงานความเคลื่อนไหว หรือบิดเบือน แต่ชาวบ้าน "เขาไม่ง้อ"เพราะมีการรายงานกันเองผ่าน "เฟซบุคส์" หรือ"ไลน์"ทวิตเตอร์ ส่งข้อความสั้น สารพัด มีทั้งภาพเคลื่อนไหว ภาพนิ่ง ข้อความเชิญชวนการแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ทักษิณ คนในครอบครัว รวมทั้งบรรดาขี้ข้าทั้งหลายอย่างดุเดือดและเต็มไปด้วยหลักฐานข้อมูลแน่นปึ้ก ชนิดที่เรียกว่ายุคนี้ "ชาวบ้านเขาเป็นสื่อเองแล้ว" แถมชัดเจน-รวดเร็วกว่า อีกทั้งยังมีสื่อ "โทรทัศน์ดาวเทียม"หลายช่องพร้อมใจกันถ่ายทอด ดังนั้นการ"จำกัดรายงานข่าว"ของสื่อฟรีทีวีจึงไม่มีผล และอีกด้านหนึ่งถือว่าเสียโอกาส เสียเครดิตและเสี่ยงต่อการถูกบอยคอตจากมหาชนเสียอีก งานนี้ถือว่าสังคมไปไกลแล้วจริงๆ !!