“หมวดเจี๊ยบ แวร์อาร์ยู” ห่วงแกนนำประชาธิปัตย์ปลุกม็อบบิดเบือนใส่ร้าย “ยิ่งลักษณ์” จวกการบินละเมิดวิชาชีพเอาวีซ่าหลานโชว์ อ้างทำอุตสาหกรรมเที่ยวเสียหาย จี้รับผิดชอบ ถามพอใจหรือยังทำชาติป่วน ด้าน “ดีเจแดง” จิกกัดตามเคย สะเออะสอนศาล รธน.ดูตัวอย่างศาลโลก สุดสะเหร่อพล่ามแนบ “อภิสิทธิ์” เป็นนายกฯ ในคำซักฟอกไม่สง่า โบ้ยแดงปิดศาลไม่ใช่พวก สั่งไม่ได้ ลั่นชุมนุมราชมังคลาฯ ปกป้องรัฐบาลชัด เย้ยเป่านกหวีดเลอะเทอะ ซัดดาราขึ้นเวทีโง่ หยาบ เผยฝ่ายมั่นคงจับตาแล้ว หยันพวกไร้อนาคตถูกสังคมประณาม เตือนดูรุ่นพี่ตกอับ
วันนี้ (16 พ.ย.) ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลเป็นห่วงการปลุกระดมของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์บนเวทีปราศรัย ที่มีการบิดเบือนใส่ร้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และมุ่งปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังในบ้านเมือง ส่งผลให้บุคคลบางกลุ่มหลงเชื่อ และถึงกับกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง โดยละเมิดจรรยาบรรณในวิชาชีพของตน เช่น ล่าสุด มีบุคคลที่คาดว่าทำงานในแวดวงธุรกิจการบิน ได้นำข้อมูลส่วนตัวในพาสปอร์ต และวีซ่าของ น.ส.พินทองทา และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หลานสาวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาเปิดเผยในโซเชียลเน็ตเวิร์ก และนำไปเผยแพร่บนเวทีปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และไม่เหมาะสม เพราะอาจเข้าข่ายละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น และสะท้อนถึงความไม่เป็นมืออาชีพของผู้นำข้อมูลมาเปิดเผย ทั้งยังจะสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และธุรกิจการบินของประเทศอีกด้วย เพราะผู้โดยสารทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ อาจไม่เชื่อมั่นในมาตรฐานความปลอดภัยของระบบจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้โดยสาร
รองโฆษกรัฐบาล กล่าวอีกว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นแกนนำบนเวทีจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อภาพลักษณ์ของประเทศในสายตานักท่องเที่ยวทั่วโลกเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร เพราะขณะนี้ สื่อมวลชนต่างประเทศได้นำเสนอข่าวการล่วงละเมิดข้อมูลส่วนตัวของผู้โดยสารดังกล่าวไปทั่วโลกแล้ว และพรรคประชาธิปัตย์พอใจแล้วหรือยัง ที่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมือง จนทำให้คนบางกลุ่มขาดสติ และเต็มไปด้วยความเกลียดชังในหัวใจ จนตัดสินใจทำอะไรผิดๆ ได้ถึงขนาดนี้
ด้าน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ แกนนำมวลชน ขึ้นเวทียกระดับการต่อสู้ประกาศ 4 มาตรการใหม่ ระบุม็อบมาไม่ถึงล้านก็ทำอะไรไม่ได้ว่า ถ้าไม่ติดตามการปราศรัยของนายสุเทพ อย่างใกล้ชิดในแต่ละวัน จะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง ตกข่าวทันที เพราะยกระดับบ่อยเหลือเกิน ยกอันใหม่เลิกยกอันเก่า สับสนไปหมด น่าสงสารที่ไม่รู้ตัวว่ามันไปต่อไม่ได้ คนไม่มาร่วมเพราะมันขาดเหตุผล จะยกอีกกี่ครั้งก็ไร้พลัง ไร้ความหมาย แต่ละเรื่องที่จะทำมันเลอะเทอะ หลายสิ่งทำแล้วผิดกฎหมาย กลายเป็นข้อประกาศที่ไร้ความชอบธรรม แล้วนึกไม่ออกการไปเป่านกหวีดใส่คนนู้นคนนี้มันจะล้มรัฐบาลได้อย่างไร โอกาสของนายสุเทพ หมดไปตั้งแต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยถอยสุดซอย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งจบไปแล้ว นายสุเทพ จะเก็บเล็กผสมน้อยประเด็นต่างๆ มาไล่รัฐบาล วางงานสอดรับกับเครือข่าย เดินสายประกาศปฏิวัติประชาชนมันไม่ได้ เชื่อว่าไม่มีใครเอาด้วย กลายเป็นม็อบพึ่งศาล
“ศาลโลกก็ทำให้คนพวกนี้ผิดหวังจากปราสาทพระวิหารหวังจะให้ไทยเสียดินแดน จนตัวเองเสียสติ จึงมาลุ้นต่อที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็คงจะเจ๊งอีก เพราะศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินเป็นลบให้เกิดสุญญากาศ หรือวิกฤตทางการเมืองได้อย่างไร เพราะเขาเห็นแบบอย่างที่ดีจากศาลโลก และการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ก็เป็นการปฏิบัติตามคำแนะนำของศาลรัฐธรรมนูญเอง การให้อำนาจประชาชนเลือกตั้ง ส.ว.ก็ไม่ใช่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ถ้าตัดสินเลยจากกรอบนี้บ้านเมืองจะอยู่กันอย่างไร” นายอนุสรณ์ กล่าว
นายอนุสรณ์ กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า ถือเป็นข่าวดีสำหรับประเทศชาติ และประชาชน ที่อย่างน้อยพรรคประชาธิปัตย์ ยังคิดที่จะกลับมาทำงานในระบบรัฐสภา แม้ว่าจะเป็นการวางแผน สอดรับกับระบบฟุตปาธนอกสภาก็ตาม ซึ่งก็คงเป็นข้อกล่าวหาเดิมๆ ไม่มีน้ำหนัก แต่หวังผลนอกสภามากกว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแล้วเสนอชื่อ นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ถือเป็นสิ่งที่ไม่สง่างาม ขอเรียกร้องไปยังผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ที่ยังพอมีหลงเหลือให้ปรึกษาหารือกันใหม่ หรือทบทวนการเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะอัยการ นัดส่งฟ้อง นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ต่อศาลอาญาในวันที่ 12 ธ.ค.ในคดีก่อให้ฆ่า และพยายามฆ่าโดยเจตนาเล็งเห็นผล ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงปี 2553 เพราะนั่นจะทำให้ญัตติดังกล่าวขาดความสง่างาม เพราะเอาคนที่มีการตั้งคำถามว่าเป็นฆาตรกรมือเปื้อนเลือดหรือไม่ มาเป็นนายกฯ ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
นายอนุสรณ์ กล่าวถึงกรณีนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา และแกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวว่า รู้สึกไม่สบายใจต่อการเคลื่อนไหวของมวลชนกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ขณะนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ว่า แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไม่มีการกดดันศาล หากมีการชุมนุมยื่นหนังสือก็เป็นกลุ่มประชาชนคนเสื้อแดงกลุ่มย่อยต่างๆ นปช.ไม่มีสายการบังคับบัญชาสั่งการประชาชนคนเสื้อแดงได้ แต่พวกที่กดดันจริงคือ พวกเครือข่ายต่อต้านรัฐบาล กลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ กปท.คปท. ปชป.ซึ่งพวกนี้อยู่ที่ไหน 40 ส.ว.อยู่ที่นั่นการชุมนุมของ นปช.ภายใต้ชื่อ นปช.เพื่อคนไทย ปกป้องประชาธิปไตยที่จะจัดขึ้นในวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน เวลา 16.00 น.ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน นั้น เป็นการจัดกิจกรรมทางระบอบประชาธิปไตย เพื่อปกป้องรัฐบาลประชาธิปไตย ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งไม่มีการกดดันใดๆ เป็นแต่เพียงการร้องขอศาลรัฐธรรมนูญให้ตัดสินบนพื้นฐานของความยุติธรรม ไม่ต้องมาช่วยอะไรพรรคเพื่อไทย เพราะถ้าผลคำตัดสินไม่อยู่บนพื้นฐานความยุติธรรมมันจะเลยจากความเป็น 2 มาตรฐานกลายเป็นไร้มาตรฐาน ในที่สุด
นายอนุสรณ์ กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวปรับ ครม.และยุบสภา ว่า ขอยืนยันทั้ง 2 กรณีจะไม่มีเกิดขึ้นในช่วงนี้อย่างแน่นอน เพราะโดยปรกติการยุบสภาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีความขัดแย้งระหว่างอำนาจบริหารกับนิติบัญญัตติ ซึ่งที่ผ่านมา ไม่พบว่าเกิดปัญหา ต่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ ลาออกทั้งพรรค สภาก็เดินหน้าต่อไปได้ พรรคประชาธิปัตย์เคยทำมาแล้ว ไม่เชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ลองลาออกทั้งพรรคดูก็ได้ว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะประกาศยุบสภาหรือไม่ ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรีในช่วงนี้ยังไม่มี เพราะรัฐมนตรีทุกท่านยังสามารถปฏิบัติงานได้ดี เกณฑ์การชี้วัดความพึงพอใจของประชาชนอยู่ในระดับสูง อย่าไปฟังพรรคประชาธิปัตย์มาก เพราะพวกนั้นคงคิดว่าถ้ารัฐมนตรีคนไหนโดนเป่านกหวีดใส่ คงจะไม่สามารถทำงานต่อได้ ถ้า ส.ส.คนไหนของพรรครัฐบาลโดนเป่านกหวีดใส่ คงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ต้องลาออก จึงตั้งหน้าตั้งตาเป่านกหวีดใส่รัฐมนตรี ใส่ ส.ส.แบบเอาเป็นเอาตาย เลอะเทอะ
นายอนุสรณ์ กล่าวถึงเวทีการชุมนุมของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีนักวิชาการ ดารา นักร้อง ขึ้นเวทีว่า ถ้ามาโดยเจตนาเสนอแนะ ติชม เพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมืองก็ถือเป็นความงดงามในระบอบประชาธิปไตย ที่เห็นต่างได้แต่ไม่แตกแยก แต่ที่ผ่านมา หลายคนทำตัวน่าผิดหวัง เสื่อมศรัทธา แทนที่จะพูดจากันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยชุดความคิดที่มีระบบคิดที่เป็นวิชาการรองรับ กลับด่าทอ หยาบคาย ไร้วุฒิภาวะ น่าละอาย หรือในกรณีของดารานักแสดงบางคนที่แสดงออกถึงความโง่เขลา หยาบคาย เสพติดความรุนแรง แล้วคิดว่าตัวเองเท่ ซึ่งทางหน่วยงานความมั่นคงได้จับตาเฝ้าระวังพฤติกรรมของแต่ละคนอย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีการละเมิดผู้อื่น หรือกระทำผิดกฎหมาย จะดำเนินคดีต่อไป ซึ่งจะขอเป็นวิธีสุดท้าย เพราะดาราไร้อนาคตบางคนก็ถูกสังคมประณามไปเบ็ดเสร็จ อย่าคิดว่าจะใช้เวทีของพรรคประชาธิปัตย์ฟอกตัวให้ดูดี ไม่มีทาง เหมือนเอาน้ำโคลนมาล้างตม ล้างยังไงก็ไม่หมด อนาคตทางการแสดงจะตกอับอย่างไรให้ดูรุ่นพี่ที่ขึ้นเวทีแล้วขาดสติ ขาดเหตุผลเป็นตัวอย่าง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ยินดีรับฟังข้อสังเกตที่เป็นประโยชน์ และไม่บ่มเพาะความรุนแรงในสังคม ดังนั้น จึงขอให้อาจารย์ นักวิชาการ ศิลปิน ดารา นักร้อง ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อบ้านเมือง
ขณะที่ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง เปิดเผยภายหลังการหารือของวอร์รูมมอนิเตอร์ม็อบ ภายหลังการประกาศยกระดับการชุมนุมของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตส.ส.สุราษฎร์ธานีว่า ในวอร์รูมมีการหารือกันทั้ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกฯ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. พล.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกฯ และตน โดยเป็นการพูดคุยกันผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่งเป็นการประเมินกันถึงความพยายามของกลุ่มผู้ชุมนุมที่คอยยั่วยุเจ้าหน้าที่ใช้กำลัง ให้ทำรุนแรง ทางวอร์รูม จึงเห็นว่าเราต้องหาทางแก้เกม ป้องกันให้ดีที่สุด ที่สำคัญกำชับให้เจ้าหน้าที่อดทน เพราะเรารู้แผนเขาดีว่าเขาต้องการเดินเกมยั่วยุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งที่เป็นห่วงที่สุดขณะนี้คืออะไร นายสุภรณ์ กล่าวว่า การยั่วยุ ที่ผ่านมาเขาก็พยายามใช้การ์ด วัยรุ่น อาสาสมัครที่เป็นวัยรุ่น ฮาร์ดคอร์ทั้งหลายมาคอยยั่วยุให้เกิดความรุนแรงและวุ่นวายตอนนี้เขารู้แล้วว่ามวลชนเขาเริ่มน้อยแล้ว และคงเหลือเฉพาะการ์ดที่นิยมความรุนแรงและจะใช้การ์ดเหล่านี้มายั่วยุเจ้าหน้าที่ให้หมดความอดทน อดกลั้น ซึ่งเราก็ต้องเฝ้าระวังไม่ให้เข้ามาใกล้ หรือมาทำร้ายตำรวจเหมือนกรณีที่บริเวณนางเลิ้งในวันนี้ที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บหลายนายจากการปะทะกับกลุ่ม คปท. และอยากเรียกร้องให้ประชาชนออกมาประณามการชุมนุมที่บอกว่าอยู่ในกรอบของกฎหมายด้วย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ขณะนี้ต้องมีการประเมินเป็นวันๆ ไป แต่ตอนนี้ยังรับได้อยู่
เมื่อถามว่าสถานการณ์อย่างนี้จำเป็นต้องขยาย พ.ร.บ.ความมั่นคงฯจากวันที่ 30 พ.ย. ออกไปอีกหรือไม่ รองเลขาธิการนายกฯ กล่าวว่า ถ้ายืดเยื้อก็มีโอกาส ซึ่งอยู่ที่สถานการณ์การชุมนุม ถ้าเขาลงเร็ว มันก็จบเร็ว แต่ถ้าเขายังไม่ลงมันก็จำเป็น มันก็ต้องทำเพราะการชุมนุมขณะนี้มันไม่ใช่การชุมนุมปกติ เขาต้องการสร้างสถานการณ์ ก่อกวนให้ตำรวจหมดความอดทน ซึ่งเราก็ต้องใช้ความอดทนเป็นที่ตั้ง แม้ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมพยายามยั่วยุก็ตาม