“ยิ่งลักษณ์” แจงผู้บริหารธนาคารทุกแห่งในประเทศไทย ชี้จำต้องออก พ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้าน เพื่อ ศก.ให้ดีขึ้น “กิตติรัตน์” โวหากโครงการ รบ. แล้วเสร็จจะทำให้จีดีพีของไทยโตอย่างน้อยปีละ 1% ผจก.ธนาคารไทยพาณิชย์-กรุงไทย คล้อยตาม เชื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 18 ก.ย. นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 18.00 น. ที่บางกอกคลับ อาคารสาทรซิตี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ร่วมหารือกับตัวแทนของสมาคมธนาคารไทย ซึ่งประกอบไปด้วย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประธานกรรมการ กรรมการผู้จัดการ และผู้บริหารระดับสูงของธนาคารทุกแห่งในประเทศไทย เกี่ยวกับมุมมองด้านนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล พร้อมร่วมรับประทานอาหารค่ำ โดยนายกฯ ได้กล่าวถึงความจำเป็นในการออกร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทว่า เป็นการวางรากฐานสำคัญให้แก่เศรษฐกิจไทยให้มีศักยภาพในการแข่งขัน ลดต้นทุน สร้างโอกาสใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจในระยะยาว และที่ต้องออกเป็น พ.ร.บ.เพื่อลงทุนแยกจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีนั้น ลงทุนในระยะเวลา 7 ปี เนื่องจากเกรงว่าถ้ามีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล การดำเนินโครงการต่างๆ อาจจะไม่ต่อเนื่อง ซึ่งถ้าเอกชนได้เห็นว่าการเดินหน้าลงทุนเป็นไปอย่างต่อเนื่องก็จะสามารถวางแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับแผนการต่างๆ ของภาครัฐ เหมือนการตัดสินใจเดินไปกู้ธนาคารเพื่อสร้างบ้านใหม่ทั้งหลัง เพราะถ้าการลงทุนอยู่ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีคงจะเป็นเพียงแค่การต่อเติมซ่อมแซม ไม่มีความต่อเนื่อง
ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การลงทุนครั้งใหญ่นี้จะเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ระหว่างการลงทุนในระยะเวลา 7 ปี จะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยให้โตได้มากกว่าปกติอย่างน้อยปีละ 1% และถ้าโครงการดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้วจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย โดยรองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความมั่นใจแก่นักธุรกิจว่า การใช้เงินในโครงการต่างๆ จะมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพราะแต่ละโครงการก่อนที่จะมีการดำเนินการต้องผ่านเกณฑ์ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้้อง กลั่นกรองโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และส่งเข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรี ก่อนที่จะอนุมัติโครงการ ภายใต้การกำหนดราคากลางที่เป็นธรรมตามกฎหมายของคณะกรรมการป้องกัันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. รวมถึงร่วมกับภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชันให้มีส่วนเข้ามาช่วยตรวจสอบด้วย
ขณะที่นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวสนับสนุนโครงการลงทุนครั้งนี้ของรัฐบาล เพราะจะเป็นการยกระดับและพัฒนาศักยภาพของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งนางกรรณิกาเห็นว่าไทยไม่ควรเสียโอกาสที่จะเป็นจุดเชื่อมโยงอาเซียนให้แก่ประเทศอื่น ขณะเดียวกัน เรียกร้องให้ภาครัฐสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการให้มากขึ้น เพราะสามารถทำรายได้ให้แก่ประเทศสูงมาก
นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย กล่าวสนับสนุนการลงทุนครั้งนี้เช่นกัน เพราะเชื่อมั่นว่าจะยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยให้ดีขึ้น ขณะเดียวกัน ได้ตั้งคำถามไปยังรองนายกรัฐมนตรี ถึงเม็ดเงินที่จะเริ่มลงทุนว่า เริ่มเข้าสู่ระบบได้เมื่อไหร่ นายกิตติรัตน์ คาดว่า ถ้ากฎหมายผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาแล้ว เม็ดเงินอย่างน้อย 350,000 ล้านบาทจะเข้าสู่ระบบได้ภายในปี 2557 ซึ่งคิดเป็น 2% ของจีดีพีไทย