“เมียทนายสมชาย” นำญาติผู้สูญหายจากคดีอุ้มฆ่าบุกทำเนียบ ยื่นหนังสือ “นายกฯปู” ขอพบใน 30 วัน เพื่อทราบความคืบหน้าคดี ระบุยูเอ็นรับเป็นคดีคนหายขององค์กร คงจะมีรายงานความคืบหน้าให้คณะทำงานของยูเอ็นได้ทราบ จึงขอทราบบ้าง
ที่ทำเนียบรัฐบาล นางอังคณา นีละไพจิตร ประธานมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ภรรยานายสมชาย นีละไพจิตร นายณัฐวัฒน์ เหล่าธนาทรัพย์ ทายาท นายกมล เหล่าโสภาพันธ์ นายบุญแทน ตันสุเทพ วีรวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) พร้อมญาติผู้สูญหายกรณีการอุ้มฆ่า นายกมล เหล่าโสภาพรรณ ที่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น เมื่อปี 2551 และญาติอีกหลายคนที่มีคดีอุ้มหายที่อยู่ภายใต้คดีพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยื่นหนังสือถึงต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เพื่อขอทราบท่าทีและคำตอบจากรัฐบาลต่อปัญหาการบังคับให้บุคคลสูญหาย โดยมี นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง เป็นผู้มารับหนังสือ เพื่อขอติดตามทราบความคืบหน้าคดี เพื่อหาความเป็นธรรมให้ญาติผู้สูญหาย เพราะในฐานะที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ และมี 2 คดีที่เป็นคดีพิเศษ คือ คดีทนายสมชาย กับ คดีนายกมล จึงต้องการทราบความคืบหน้าว่าคืบหน้าไปอย่างไร
และทั้ง 2 คดีนี้เป็นคดีที่คณะทำงานด้านคนหายของสหประชาชาติ รับเป็นคดีคนหายของสหประชาชาติ และโอกาสที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปเจนีวาขณะนี้ น่าที่จะรายงานความก้าวหน้าของทั้ง 2 คดีให้คณะทำงานของสหประชาชาติได้ทราบด้วย
นางอังคณา กล่าวว่า มาขอคำตอบจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงแนวทางและมาตรการในการเข้าถึงสิทธิมนุษยชน และความเป็นธรรมของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกบังคับให้สูญหาย โดยจะขอพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ภายใน 30 วันนับจากยื่นหนังสือในวันดังกล่าว เพราะปัญหาการบังคับให้บุคคลสูญหาย เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมายาวนานไม่ต่ำกว่า 20 ปี โดยรัฐยังไม่ให้ความใส่ใจเท่าที่ควร หรืออาจไม่มีความสามารถที่จะดำเนินการให้เกิดความกระจ่างจากการแสวงหาความจริงให้กับญาติผู้สูญหายได้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะต้องทวงถามความก้าวหน้าในการทำงานของดีเอสไอ เพื่อรายงานให้กับองค์กรสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่ได้ประกาศรับคดีนายสมชาย อยู่ในความดูแลของยูเอ็น ซึ่งประเทศไทยได้มีการลงนามสัญญาภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย แต่ยังไม่ได้มีการให้สัตยาบัน
ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมานายกฯ ยังได้พูดถึงสิทธิมนุษยชน ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เห็นว่าการสูญหายของบุคคลก็เป็นปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงเช่นกัน จึงขอเรียกร้องให้นายกฯ เร่งดำเนินการดังกล่าวให้เร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบคุณนายกฯ ที่ได้เยียวยาครอบครัวของตนเป็นจำนวนเงิน 7.5 ล้านบาท แต่เรื่องการพิสูจน์ ความจริง และให้ความเป็นธรรม ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก ที่จะต้องติดตามต่อไป
“ญาติของผู้สูญหายรอดูความยุติธรรม ความล่าช้าในการดำเนินคดี ทำให้ทุกคนถูกคุกคามกันหมด ทั้งพยาน หรือตำรวจที่ทำคดีก็ยังถูกคุกคาม ทุกคนรู้ความจริง แต่กลับไม่ได้ทำอะไร อย่างกรณีนักธุรกิจประเทศซาอุดีอาระเบีย ดีเอสไอก็ทำงานอย่างเต็มที่ แต่คดีของนายสมชาย ที่มีพยานหลักฐานจำนวนมากกว่ากลับไม่มีความคืบหน้า ฉะนั้น นายกฯ สามารถตั้งคณะกรรมการขึ้นใหม่ได้ เพื่อเรียกพยานหลักฐาน”นางอังคณา ระบุ
ด้าน นายณัฐวัฒน์ กล่าวว่า ในคดีของนายกมล ดีเอสไออ้างว่าไม่มีพยานหลักฐานเพิ่มเติม จึงจะยกคดีออกจากคดีพิเศษ ตนมองว่าขนาดดีเอสไอยังไม่สามารถหลักฐานได้ แล้วจะมีใครจะช่วยคลี่คลายคดีได้บ้าง จึงตั้งข้อสังเกตว่าคดีของนายกมล ดีเอสไอหาหลักฐานไม่ได้ หรือไม่ได้หาหลักฐานกันแน่ เพื่อทำให้คดีไม่คืบหน้า และยกออกจากคดีพิเศษกันแน่
นายบุญแทน กล่าวว่า นอกจากการเร่งรัดคดีให้มีความคืบหน้าแล้ว ในเรื่องการคุ้มครองพยาน ควรทำให้มีความเชื่อมั่นมากขึ้น เพราะขณะนี้ถึงแม้จะมีการคุ้มครอง แต่ญาติผู้สูญหาย มักจะถูกคุกคาม ทั้งนี้การเข้าเป็นคดีของยูเอ็น ทางยูเอ็นจะทวงถามความคืบหน้าคดีจากรัฐบาล และญาติของผู้สูญหาย ที่ผ่านมาทางยูเอ็นได้แจ้งความจำนงที่จะเข้ามาตรวจสอบคดี แต่รัฐบาลกลับแจ้งว่ายังไม่มีความพร้อม ตนเห็นว่าหากยูเอ็นมีโอกาสเข้ามาตรวจสอบ ก็น่าจะมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม