ผู้บัญชาการทหารบกเผยโผโยกย้ายทหารคุยบ้างแล้ว รอรัฐมนตรีกลาโหมเรียกประชุม แนะสื่อเลิกจุ้นชี้วุ่นวายไปหมด บอกเป็นเรื่องของกองทัพ อย่าสนว่าใครได้แต่ขอให้ดูทำงานดีหรือไม่ ย้อนถามใครไปวิ่งขอ “นช.แม้ว” บอกถ้าสั่งไม่เข้าท่าก็ไม่มีคนปฏิบัติตาม ชี้แต่งตั้งถ้าระดับล่างไม่เอาเราก็อยู่ไม่ได้ บอกหลักการไม่ได้เขียนต้องอาวุโสได้นั่งเก้าอี้ ชี้อยู่ที่จังหวะและโชคชะตาด้วย
วันนี้ (27 ส.ค.) ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ททบ.5) เมื่อเวลา 14.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีว่า ได้มีการพูดคุยกันบ้างแล้ว และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมจะเรียกประชุมคณะกรรมการปรับย้ายนายทหารประจำปีอีกครั้ง สื่ออย่าไปให้ความสนใจ ยิ่งเขียนก็ยิ่งไม่ดี รู้สึกว่าทุกคนจะเข้ามาวุ่นวายไปหมด การแต่งตั้งทหารเป็นเรื่องของทหารด้วยกันเพราะเป็นเรื่องตามกฎหมาย และพ.ร.บ.การจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 ส่วนฝ่ายบริหารจะดูในภาพรวม และนำขึ้นทูลเกล้าฯ อย่าไปให้ความสำคัญว่า ใครได้เป็นอะไร ขอให้ไปเตรียมตั้งหลักว่าเมื่อใครเป็นแล้วจะทำหน้าที่ได้ดีหรือไม่ ขอให้ช่วยกันตรวจสอบตอนนั้นดีกว่า ให้เตรียมคำถามไว้ถามว่า ทำอะไรบ้าง ถ้าทำไม่ดีก็วิเคราะห์วิจารณ์ ตอนนี้อย่าไปเขียนว่าใครเป็นอะไร ถ้าไม่ได้เป็นจะวุ่นวายไปหมด เพราะจะทำให้เสียในภาพรวม คนดีๆ ในกองทัพก็ไม่ได้ไปไหน นั่งทำงานอยู่สนามและชายแดน ขณะเดียวกันก็มีข่าวการวิ่งเต้น คิดว่าไม่ดีต่อกองทัพ
เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่มีนายทหารระดับสูงไปวิ่งเต้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อมาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถามว่า ใครวิ่งไปหา และเป็นกลุ่มไหน ตนไม่ทราบ แต่ถ้ามีคนไป ตนก็ไม่รู้ ใครจะไปทำอะไร ใครจะได้แต่งตั้งเป็นอะไร อย่ามาถามวันนี้ เพราะยังไม่ยุติ และยังไม่ได้ชี้ขาดแน่นอน เพราะในที่ประชุมคณะกรรมการปรับย้ายนายทหารระดับชั้นนายพล ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะ รมว.กลาโหม เป็นประธาน ยังไม่ได้ประชุมครั้งสุดท้าย ส่วนใครจะไปวิ่งอะไร แล้วจะได้เป็นหรือไม่ ขอให้ดูที่ผลงานวันข้างหน้า คิดว่าไม่ว่าใครเป็นผู้บังคับบัญชาในกองทัพก็ไม่ได้ทำให้กองทัพดีขึ้นจนวิเศษเลิศเลอ หรือแย่ลงจนรับไม่ได้ คนส่วนใหญ่ยังมีอุดมการณ์ความเป็นทหารที่ยังรักหมู่คณะ และรักษาชื่อเสียงของกองทัพ
“ถ้าใครจะสั่งเรื่องไม่เข้าท่าก็ไม่มีใครรับไปปฏิบัติตาม การเป็นผู้บังคับบัญชาคนหรือได้รับการคัดเลือกให้เป็นอะไรก็ตาม ต้องได้รับการยอมรับจากคนในกองทัพ ไม่ใช่คนนอกกองทัพ เป็นธรรมดาที่การแต่งตั้งทุกระบบ ต้องมีผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อกองทัพพิจารณาว่าคนคนนี้ใช้ไม่ได้ แต่ได้รับการแต่งตั้งมาจะทำลายขวัญของคนในกองทัพ ผลการปฏิบัติงานของกองทัพก็จะลดลง เพราะถ้าคนเป็นผู้นำไม่ได้รับการยอมรับ ทุกคนที่จบโรงเรียนนายร้อยฯ มาเป็นได้ทุกคน ไม่ใช่ผมเป็น ผบ.ทบ.แล้วจะวิเศษกว่าคนอื่น แต่ทุกคนต้องพัฒนาตนเอง หากรู้ว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่รอบรู้ ก็ต้องเรียนรู้ด้วยตนเองและพัฒนาตนเอง และนำผลงานมาเป็นตัวชี้วัดให้คนชื่นชมและยกย่อง ไม่ใช่ว่า ให้ผู้บังคับบัญชายกย่องอย่างเดียวแต่คนข้างล่างไม่เอาเรา กองทัพจะอยู่ไม่ได้ ส่วนเรื่องการวิ่งเต้นผมไม่รู้ ผมไม่ได้เป็นคนไปวิ่งเต้น ใครจะวิ่งก็วิ่งไป ถ้าวิ่งแล้วไม่ได้เป็นก็ต้องคอยดู ถ้าวิ่งแล้วได้ป็นจริงก็ต้องถามว่า เขาจะทำอะไร วิสัยทัศน์เขาคืออะไร จะทำให้กองทัพก้าวไปข้างหน้าได้หรือไม่ แต่ผมไม่รู้ว่าใครวิ่งเต้น เพราะผมไม่เห็น ส่วนโผโยกย้ายทางหนังสือพิมพ์ผมก็ไม่ดู เพราะเท่าที่สื่อเขียนมาก็ไม่ตรงสักเท่าไร ตั้งกันทุกวัน สื่อทายผิด ทายถูกไปเรื่อย ถ้าสุดท้ายเขาไม่ได้เป็น เขาเสียใจ แต่ขออย่าไปซีเรียสกับเรื่องนี้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ที่สื่อได้เขียนชื่อลงไป เห็นว่าทุกคนมีประสบการณ์ และมีหน้าที่การงานที่เติบโตในกองทัพทุกคน ทุกคนก็เป็นได้หมด แต่จะต้องเป็นคนที่เข้มแข็งและรอบรู้มาเป็นพื้นฐานก่อน ถ้าคนเหล่านี้เก่งและดี ทุกอย่างดีอยู่แล้ว ผู้บังคับบัญชาเห็นชอบมาอีกก็ดีไปกันใหญ่ แต่ถ้าคนไม่เก่งและผู้บังคับบัญชาเห็นว่า คนนี้ดีน่าจะปกครองได้มันก็จะลดประสิทธิภาพลงไป ดังนั้นนั้นต้องได้รับการยอมรับจากทั้ง 2 ส่วน คือ ทั้งในกองทัพและนอกกองทัพ ถ้าใครจะไปนอกกองทัพหรือนอกประเทศก็ว่ากันไปนั่นเป็นอีกเรื่อง ซึ่งคนที่จะมาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ต้องได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการคัดสรร ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า ที่ประชุมจะมีมติอย่างไร ซึ่งไม่ได้ต่อสู้อะไรกันมาก เมื่อได้ชื่อมาแล้วก็นำมาเข้าพิจารณาเป็นความเห็นร่วมไม่ใช่คนคนเดียว ที่บอกว่าคนของตนดี แต่ต้องฟังความคิดเห็นของคนอื่นด้วย เพราะตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมมาได้จากทุกเหล่าทัพ ไม่ใช่ว่ามาจากกองทัพบกที่เดียว
เมื่อถามว่า ทางกองทัพจะรับได้หรือไม่ หากบุคคลที่จะมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมมีอาวุโสน้อยกว่า พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตอนที่ตนเป็นผบ.ทบ.ก็มีรุ่นพี่ที่ยังเป็นรองตน เขายอมรับหรือไม่อยู่ที่การปฏิบัติตัว เพราะหลักการเขาไม่ได้เขียนว่า ต้องอาวุโสกว่าเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าจะมีอาวุโสมากหรือน้อยแค่ไหนถือว่าทุกคนมีสิทธิ์หมด ไม่ว่าจะพี่หรือน้องก็มีสิทธิ์เท่ากัน แต่ละคนได้รับแคนดิเดตเท่ากัน แต่ใครได้มาเป็นก็ต้องยอมรับกัน นี่คือกติกา ที่ผ่านมากตนอยู่กับรุ่นพี่หลายคนเพราะทุกคนเติบโตมาในหน้าที่การงานที่ไม่เท่ากัน แล้วแต่จังหวะชีวิตของแต่ละคน นี่ถึงเรียกว่าจังหวะชีวิตไม่ใช่ว่าเก่งแล้วถึงจะได้เป็นทุกอย่าง ต้องขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา ความรู้ความสามารถ รวมถึงโชคชะตาด้วยถึงจะได้เป็น พอเป็นแล้วต้องทำอย่างไร เพื่อไม่ให้เขาตำหนิ หรือไม่ให้มาว่าได้ว่าเป็นแล้วไม่ได้เรื่อง ไม่มีสมอง ดังนั้นเราต้องพัฒนาตัวเอง