หน.ปชป.เปรียบ รบ.แก้ข้าว-ยาง สองมาตรฐาน ซัดยางอ้างอิงกลไกตลาดโลก เทียบข้าวแล้วต้องจำนำ 8-9 พันต่อตัน บี้นายกฯ ถอดปมการเมือง ข้องใจช่วยชาวนาได้แต่ชาวสวนกลับนิ่ง แนะส่งสัญญาณช่วยเหลือเป็นรูปธรรมแบบเรื่องข้าว ย้อนมาตรฐาน “ปู” ร่วมแดงชุมนุม ทีเรื่องยางกลับขู่การเมืองอย่าจุ้น ตอกทำการเมืองมุ่งแต่พวกพ้อง-ญาติ ไม่สน ปชช.เดือดร้อน
วันนี้ (27 ส.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเปรียบเทียบการแก้ปัญหาเรื่องราคาข้าว และราคายางพาราของรัฐบาลว่า เรื่องข้าวยังแก้ไม่ถูกจุด และสุดท้ายก็ไปลดผลประโยชน์ที่ให้กับชาวนา แต่รัฐบาลยังกล้าไปบอกกับชาวสวนยางว่า ของชาวสวนยางนั้นต้องเป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งเป็นสองมาตรฐานอย่างชัดเจน เป็นการเลือกปฏิบัติ ซึ่งการที่นายกฯ บอกว่าราคายางพาราต้องอิงตามราคากลไกตลาดโลก ซึ่งต้องวิเคราะห์ต้นทุนต่างๆ ที่อย่างน้อยชาวสวนยางจะไม่ขาดทุน ตอนนี้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ประเมินต้นทุนราคายางต่อกิโลกรัม 60 บาท, สถาบันวิจัยการยาง ระบุมีต้นทุนที่ 70 บาท และกรมวิชาการเกษตร บอก 80 บาท ซึ่งหากเทียบเรื่องข้าวแล้วก็ต้องจำนำอยู่ราคา 8,000-9,000 ต่อตันตามต้นทุนที่มีการคำนวณหรือไม่ ทั้งนี้เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าราคายางพาราเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ ซึ่งนายกฯ ก็พูดทำนองว่า ขออย่าการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงอยากให้นายกฯ ถอดการเมืองออกไป เพราะช่วยชาวนาได้ แล้วทำไมช่วยชาวสวนยางไม่ได้ ทั้งนี้การที่ส่งรองเลขานายกฯ ลงพื้นที่ ขณะที่สัญญาณข้างบนยังยืนยันว่าไม่ช่วยก็ไม่มีประโยชน์อะไร จึงอยากให้ตั้งหลักจากข้างบนก่อนว่าจะช่วย ส่วนจะช่วยได้ถึงแค่ไหนนั้นก็ต้องมานั่งคุยกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล
“ผมเป็นห่วงการชุมนุมที่นครศรีธรรมราช ที่มีการไปปิดถนนกระจัดกระจายมากขึ้น แล้วก็สุ่มเสี่ยงต่อการปะทะ ฉะนั้นดีที่สุดรัฐบาลต้องส่งสัญญาณก่อน เริ่มจากนายกฯ หรือรัฐมนตรีเกษตรว่า จะหามาตรการช่วยเหลือ แล้วก็ต้องบอกมาตรการที่เป็นรูปธรรม ขอให้รัฐบาลปรับทัศนคติ ปรับวิธีคิดก่อน เหมือนกับเรื่องข้าว ถ้าไม่ปรับวิธีคิดก็จะวนเวียนอยู่อย่างนี้ และต้องไปถามนายกฯ ว่ามาตรฐานของนายกฯ คืออะไร ถ้าเกิดชุมนุมเรียกร้องเพื่อตัวเอง หรือเรียกร้องทางการเมืองล้วนๆ เผาบ้านเผาเมืองได้ ซึ่งตัวนายกฯ เองก็ไปอยู่หลังเวทีได้ แต่พอตอนนี้ชาวสวนยางเขาเดือดร้อน บอกว่าอย่าให้เป็นเรื่องการเมืองแล้วก็จะไม่ช่วย” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า การที่นายกฯ บอกว่า เราไม่อยากเห็นเรื่องความเดือดร้อนของประชาชนเข้าไปเกี่ยวเรื่องการเมืองนั้น ตนก็เลยอาจจะเริ่มเข้าใจแล้วว่า ที่นายกฯ ทำการเมืองทุกวันนี้ไม่เกี่ยวกับความเดือดร้อนประชาชนเลย เกี่ยวแต่เฉพาะเรื่องของพวกพ้อง ครอบครัว ผลประโยชน์ ทั้งที่ความเดือดร้อนของประชาชนคือหน้าที่หลักที่ฝ่ายการเมืองต้องไปแก้ไข