ผ่าประเด็นร้อน
ไม่รู้ว่าเครียด ต้องลุ้นจนสติแตก บ้าไปแล้วก็ไม่รู้เมื่อได้เห็นคลิปล่าสุดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่กระโดดเตะกระสอบทรายที่เป็น “เป้านิ่ง” ที่ลูกสาวคนเล็กคือ แพทองธาร ชินวัตร เจตนาเผยแพร่ผ่านสื่ออนไลน์เมื่อวันก่อน อ้างว่านี่คือ “ฟิตแอนด์เฟิร์ม” ของพ่อ เพราะโชว์ให้เห็นทั้งเตะต่อยครบเครื่อง แต่เวลาแค่สิบวินาทียังไม่อาจพิสูจน์อะไรได้ชัด เพราะเป็นไปได้ว่านี่คือเจตนาเพื่อกลบข่าวลือว่า “กำลังป่วยหนัก” หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะที่ผ่านมาก็เคยได้ยินมาบ้างว่า ทักษิณ เป็น “มะเร็งต่อมลูกหมาก” แต่ที่ผ่านมาเจ้าตัวก็เคยออกมาปฏิเสธแบบขำๆ มาแล้วว่าไม่จริง เรื่องก็เงียบไป
อย่างไรก็ดี เรื่องกลบป่วยหนักหรือเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าถามว่าช่วงนี้คนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร เครียดหรือไม่ ก็ต้องตอบแทนได้ทันทีว่า “เครียดและเครียดมาก” เสียด้วย เพราะแม้ว่าจะมีทุกอย่างในมือ ทั้งรัฐบาลเป็นของตัวเอง มี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวที่เป็น “หุ่นเชิด” ไว้ใจได้ มีทหารแตงโมที่ควบคุมได้เบ็ดเสร็จ และถ้าเสียงในคลิปบอกว่า “ไว้ใจไอ้ตู่ที่สุด” นั่นก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะตู่ที่ว่าถ้าไม่ดัดจริตทำเป็นไม่รู้ก็เกินไป คงจะหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน นั่นแหละ และที่ผ่านมาเจ้าตัวก็บอกแต่เพียงว่า “ยินดีทำตามคำสั่งของรัฐบาลและผู้บังคับบัญชา” ยังฟันธงร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ ส่วนพวกตำรวจมะเขือเทศนั้นไม่ต้องไปพูดถึงกันแล้วนาทีนี้ไม่ต่างจาก “ม็อบเสื้อแดง” ระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.อ.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง หากพิจารณาจากพฤติกรรม และเจตนารมณ์การทำหน้าที่รวมไปถึงทัศนคติที่ผ่านมา คงเทียบได้กับพวก “แกนนำเสื้อแดง” ดีๆ นี่เอง เพียงแต่ว่าไม่ใช่ใส่เสื้อแดงแต่มีอาวุธและใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษในการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเต็มที่
นี่ยังไม่รวมกลไกรัฐอื่นๆ ในหน่วยงานราชการแทบทั้งหมดล้วนอยู่ในเครือข่ายของเขาแทบทั้งสิ้น ชนิดที่เรียกว่าตั้งแต่ตำแหน่งรัฐมนตรีลงมาหากใครต้องการนั่งเก้าอี้ตำแหน่งสำคัญลดหลั่นกันลงมาก็ต้องตบเท้าไปขออนุมัติจากเขา ทั้งที่มีสถานะไม่ต่างจากโจร มีคดีทุจริตติดตัว
ความหมายก็คือแม้ว่าเขาจะมีอำนาจชักใยความเป็นไปในรัฐบาล และการบริหารบ้านเมืองทุกเรื่อง มีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่กลับกลายเป็นว่า เวลานี้ “มีแต่ความเครียด” เพิ่มขึ้น ล่าสุดยังมีคลิปขู่ฆ่าออกมาเขย่าขวัญอีกต่างหาก
แม้ว่ามีทุกอย่างอยู่ในมือแต่ผลที่กลับมากลับไม่เป็นไปตามที่หวัง เริ่มจากผลงานของรัฐบาลน้องสาวตัวเองที่กำลัง “โชว์โง่” ให้เห็นอยู่ทุกวัน ผลงานห่วยแตก มีแต่สร้างภาระ สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน มีแต่วามล้มเหลวไม่เห็นความสำเร็จให้ชื่นใจสักเรื่องเดียว ภาพของ “เทวดา” ที่เคยสร้างภาพอำพรางเอาไว้ว่าเป็นคน “เสกเงินในกระเป๋าให้เพิ่มขึ้น” เอาเข้าจริงกลับทำให้ “แฟบลง” กว่าเดิม เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า นับวันชาวบ้านยิ่งมองออกว่า “เห็นแก่ตัวเอาเปรียบคนอื่น” เป็นอำมาตย์และอภิสิทธิชนของแท้
กระแสต้านนับวันยิ่งแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นจากการเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าสภา ซึ่งเนื้อหาก็ถูกจับได้ไล่ทันอีกว่าอำพรางเพื่อช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตรและสมุน เป็นหลัก จนเวลานี้เกิดม็อบลุกฮือขึ้นมาขับไล่ แม้กระทั่งมีการวางแผนจากบรรดา "กุนซือ" เสนอแผนปฏิรูปการเมืองขึ้นในช่วงเวลาคับขัน แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาอย่างทันควัน เพราะทุกคนรู้ว่านี่คือ “ปาหี่” ที่ไม่เนียน มองแวบเดียวก็สรุปได้ทันทีว่าไม่ได้มีเจตนาเป็นจริงเป็นจังแต่อย่างใด มันกายเป็นว่าส่งผลลบเพิ่มขึ้นไปอีก จากที่เคยหวังว่านี่คือ “แผนสันติภาพ” อีกรูปแบบหนึ่งที่ดึงเอาทุกฝ่ายมาร่วมมือกัน แต่กลายเป็นว่ามีแต่พวก “เขี้ยวลากดิน” ที่ในยุคนี้ชาวบ้านแทบจะ
“ถ่มน้ำลายรดหน้า” แต่ยังสำคัญตัวเองผิดคิดว่ามีบารมี ชาวบ้านเขาจะคล้อยตาม ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่พอเห็นชื่อ บรรหาร ศิลปอาชา อุกฤษ มงคลนาวิน หรือตามข่าวล่าสุดมี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เข้าร่วมก็ยิ่งตลกขบขันปนสมเพชจนสุดบรรยาย แทนที่จะอยู่นิ่งๆ เงียบๆ ไม่ต้องถูกเด็กๆถอนหงอก แต่นี่กลับเสนอหน้าออกมาแบบไม่เจียมตัว ผลก็เลยเละตั้งแต่ไม่ทันเริ่ม
นั่นเป็นการฉายภาพให้เห็นถึงความพร้อมของทักษิณ ที่มีเครือข่ายโยงใยไปทุกส่วน แต่ดันมีข่าวเรื่อง “ปฏิวัติรัฐประหาร” ออกมาให้สังคมรำคาญอีก เนื่องจากคำถามที่เกิดขึ้นทันทีก็คือ จะมีทหารหน้าไหนที่มีศักยภาพเพียงพอสำหรับก่อการดังกล่าวได้ หากเกิดขึ้นจริงก็มีแต่ “ทหารแตงโม” กับ “ตำรวจมะเขือเทศ” ที่มีอยู่เต็มเมืองเท่านั้นที่จะทำแบบนั้นได้ และอย่าได้แปลกใจหากคราวนี้จะอ้างเหตุผลว่า “เพื่อรักษาประชาธิปไตย” ขณะเดียวกันนี่ก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะสามารถรวบรัดนิรโทษฯ ให้ ทักษิณ ชินวัตร ได้พ้นผิดอย่างรวดเร็ว และจำได้หรือเปล่าคำพูดที่บอกว่า “ผมไว้ใจไอ้ตู่ที่สุด”
อย่างไรก็ดี ก็ต้องหมายเหตุเอาไว้ในตอนท้ายด้วยว่าโอกาสที่จะเกิดเหตุแบบนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะเวลานี้มีการ “ฮั้วอำนาจ”กันลงตัวหมดแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องลงมือให้โฉ่งฉ่าง ทุกอย่างถือว่าเบ็ดเสร็จกันไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ต้องจับตามองก็คือการ “กำจัด” ฝ่ายตรงข้ามมากกว่า !!
