สะเก็ดไฟ
กลายเป็นข่าวใหญ่สั่นสะเทือนวงการ “การเมืองไทย” ไปในชั่วข้ามคืน เมื่อมีการเปิดเผยบทสนทนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ทางการเมืองไทย 2 คน
โดยส่วนหนึ่งของบทสนทนาพูดถึงแผนการวางหมาก-วางเกม กำหนดทิศทางการเมืองไทยไว้อย่างชัดเจน
เมื่อฟังเสียงจากคลิปเสียงตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว น้ำเสียงและเนื้อหาของการสนทนา ฝ่ายหนึ่งถูกโฟกัสไปที่ “บิ๊กอ๊อด - พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” ผู้ที่เพิ่งกลับเข้ามาเป็น รมช.กลาโหม ส่วนอีกฝ่ายโฟกัสกันไปที่ “นช.แม้ว - พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี
ไม่แปลกที่ “บิ๊กอ๊อด” จะออกมาปฏิเสธทันควันว่าไม่ใช่เสียงของตัวเอง แต่อย่าลืมว่าช่วงต้นของการสนทนามีการอ้างถึงอายุ 76 ปี ซึ่งพอดิบพอดีกับ รมช.กลาโหมหมาดๆ ที่เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2480 เมื่อหักลบกับ 2556
ก็เท่ากับว่า “บิ๊กอ๊อด” มีอายุ 76 ปี ตามที่ระบุไว้ในคลิปเสียง
และแน่นอนว่าคนในพรรคเพื่อไทย ย่อมต้องออกมาทำหน้าที่“สมุนแม้ว” ออกโรงมาตอบโต้แทน “นายใหญ่” ว่าเป็นการตัดต่อคลิปเสียง แต่ด้วยน้ำเสียงคุ้นหูโดยเฉพาะผู้ที่รับฟังการ “โฟนอิน” บ่อยๆ จึงฟันธงได้เลยว่าเป็น “เดอะแม้ว”อย่างแน่นอน
งานนี้ดูท่าแล้วจะดิ้นไม่ออกกันทั้งคู่
เมื่อย้อนสาแหรกของ “บิ๊กอ๊อด” พบว่าสืบทอดสายเลือดทหารมาตั้งแต่สมัยคุณพ่อ “พล.ท.อรรถ ศศิประภา”โดยมีพี่น้องร่วมสายเลือด “พล.อ.อัครเดช ศศิประภา” อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) หรือที่เรียกกันว่า “เสธ.แอ๊ว”
ดังนั้นตระกูล “ศศิประภา” จึงเป็นตระกูล “นายทหารใหญ่” มาตั้งแต่ “รุ่นพ่อ” แล้ว
อีกทั้ง “บิ๊กอ๊อด” ยังสมรสกับ “คุณหญิงอรพรรณ ศศิประภา” ซึ่งเป็นบุตรสาวของ “จอมพลประภาส จารุเสถียร ”กับ “ท่านผู้หญิงไสว จารุเสถียร” ซึ่งเป็นครอบครัวในทหารใหญ่ในอดีต
ซึ่งส่งผลให้ “บิ๊กอ๊อด” มีคอนเนคชั่นทางทหารเพิ่มขึ้น เรียกได้ว่าอนาคตในการรับราชการทหารใสปึ๊งตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพแล้ว อีกทั้งยังได้รับความเอ็นดูจาก “ป๋าเปรม - พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์”อีกด้วยในฐานะ “นายทหารลูกป๋า”
ตามประวัติ “บิ๊กอ๊อด” รับราชการในสังกัดกองทัพบก โดยมีตำแหน่งสำคัญ ไล่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 เป็นเสนาธิการกรมการรักษาดินแดน ต่อมาในปีพ.ศ. 2533 เป็นผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายการข่าว จนกระทั้งในปี พ.ศ. 2539เป็นผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
ก่อนมาปิดฉากชีวิตราชการในตำแหน่ง “ปลัดกระทรวงกลาโหม” ซึ่งเป็นช่วงที่เชื่อกันว่าเริ่มใกล้ชิดกับ “ทักษิณ” เป็นพิเศษ ในการอำนวยความสะดวกเรื่องธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานกันในตอนนั้น
และสิ่งหนึ่งที่ “บิ๊กอ๊อด”ถนัด และมีการอวดโอ้สรรพคุณตัวเองอยู่ในคลิปเสียงด้วย คือการที่เป็นนายทหาร “สายบุ๋น” เพราะเคยสังกัด “ฝ่ายข่าว” ทำให้รู้ความเคลื่อนไหวในเชิงลึกของทหารมาโดยตลอด
ที่สำคัญรู้ความเคลื่อนไหวของประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี โดยเฉพาะประเทศพม่าที่ปกครองด้วยเผด็จการทหารมายาวนาน ทำให้มีความแนบแน่นกันเป็นอย่างดี จึงถือเป็นมือไม้ให้ “ทักษิณ” เกี่ยวกับการเดินงานในประเทศเพื่อนบ้าน
ซึ่งหลังจากที่เกษียณอายุราชการเมื่อปี 2541 “บิ๊กอ๊อด” ผันชีวิตเข้าสู่ถนนสายการเมือง ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ “ทักษิณ” เซ็ตทีมงานเริ่มก่อร่างสร้าง “พรรคไทยรักไทย”
เมื่อ “ทักษิณ” ต้องการคอนเนคชั่นทางทหารและกองทัพ จึงส่งเทียบเชิญมายัง “บิ๊กอ๊อด” ให้เข้าร่วมทำงานในพรรคด้วยกัน “บิ๊กอ๊อด” จึงโอเค เยส เข้าร่วมงานกับ “ทักษิณ” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และคอยเป็น “กุนซือ” ทางการทหารให้กับ “ทักษิณ” มาโดยตลอด แต่คอยแอบประสานงานอยู่ “เบื้องหลัง”
จนกระทั่งปี 2544 “ทักษิณ” ไว้ใจและชื่นชอบการทำงานของ “บิ๊กอ๊อด” ที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ด้วย พร้อมมอบตำแหน่ง รมช.กลาโหม เพื่อดูแลน้องๆใน “กองทัพ” ถือเป็นการตบรางวัลแห่งความซื่อสัตย์ให้เป็นการตอบแทน
ความไว้เนื้อเชื่อใจ “ทักษิณ” ที่มีต่อ “บิ๊กอ๊อด” ดูได้จากการให้ดำรงตำแหน่ง รมช.กลาโหม ครบเทอม 4 ปี ก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่ในปี 2548
ซึ่งหลังจากนั้นสถานะทางการเมืองของ “ทักษิณ” เริ่มสั่นคลอน จนกระทั่งโดน “รัฐประหาร” ในปี 2549 ชื่อของ “บิ๊กอ๊อด” ก็หายเข้ากลีบเมฆไปพร้อมกับการผลัดอำนาจครั้งนั้น
จนเมื่อเดือน ส.ค.51 ชื่อของ “บิ๊กอ๊อด” กลับมามีบทบาทสำคัญต่อชีวิต “ทักษิณ” อีกครั้ง เมื่อเป็นคนวางแผนพาตัว “ทักษิณ” ออกจากประเทศ ก่อนที่จะมีการตัดสินคดีที่ดินรัชดา
โดยอาศัยฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย แต่งตั้ง “ทักษิณ” มานั่งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของโอลิมปิกแห่งประเทศไทย พอใกล้ถึงวันเปิดการแข่งขันมหกรรมโอลิมปิคที่เมืองจีน ก็ออกหมายเชิญไปร่วมงานเพื่อเป็นเกียรติ ที่กรุงปักกิ่งด้วย และปล่อยให้บินต่อไปไม่หวนกลับมาเมืองไทยจนถึงทุกวันนี้
เป็นที่มาของนิยาย “หนูช่วยราชสีห์” ในคลิปเสียง ที่ชายสูงอายุเสียงคล้าย “บิ๊กอ๊อด” พูดอย่างภาคภูมิว่า “ดีใจจังได้ช่วยราชสีห์สักครั้งหนึ่ง”
จนมาถึงช่วงจัดตั้งรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในปี 2553 นายทหารใหญ่ฆ่าไม่ตายอย่าง “บิ๊กอ๊อด” ก็มีชื่อโผล่เข้ามาใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 อีกครั้ง โดยได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม ซึ่งช่วงนั้นได้รับภารกิจคุมน้องใน “กองทัพ” ไม่ให้แตกแถว และก็ถูกมองว่าเป็นการตอบแทนผลงานมาสเตอร์พีซที่พา “นายใหญ่” หนีคุกออกจากประเทศแบบหวุดหวิด
ต่อมาช่วงต้นปี 2555 “บิ๊กอ๊อด” โดนปรับย้ายมานั่งตำแหน่ง “รองนายกรัฐมนตรี” เพื่อหลีกทางให้ “เพื่อนโอ๋ - พล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต " ของ “พี่แม้ว” ได้มานั่ง รมว.กลาโหมแทน
และในช่วงปลายปี 2555 “บิ๊กอ๊อด” ถูกปรับพ้นครม.ยิ่งลักษณ์ 3 แบบไม่รู้เนื้อรู้คัว แต่ก็ไม่ได้ออกอาการหัวฟักหัวเหวี่ยง จนล่าสุด “บิ๊กอ๊อด” คัมแบ๊คกลับมามีตำแหน่งเป็นรมช.กลาโหม ในครม.ยิ่งลักษณ์ 5 อีกครั้ง
เมื่อดูเส้นทางการเมืองของ “บิ๊กอ๊อด” แล้ว ถือว่านี่คือ “สายตรง” ของ “ตระกูลชินวัตร” คนหนึ่ง เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของ “ทักษิณ” มากที่สุดคนหนึ่ง
และโดยลักษณะนิสัยส่วนตัวของ “บิ๊กอ๊อด” ที่เป็นคนทำงาน ไม่เรื่องมาก โดยเฉพาะกับ “ทักษิณ” ไม่ว่า "ทักษิณ" จะสั่งการอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยากหรือง่าย “บิ๊กอ๊อด” ทำให้ได้เบ็ดเสร็จทุกอย่าง
ถึงขั้นไม่เคยมีเสียงบ่นให้ “ทักษิณ” ได้ยินเลย ดูจากการปรับ ครม.ที่โยกไปโยกมาก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่า “บิ๊กอ๊อด” พร้อมแสตนด์บายเพื่อ “นายใหญ่” ขนาดไหน
แต่สิ่งที่ “ทักษิณ” ประทับใจ “บิ๊กอ๊อด” มากที่สุดคือการพูดจา ที่ “บิ๊กอ๊อด” ที่แม้อายุมากกว่าเป็นสิบปีมักเรียก “ทักษิณ” ว่า “นาย” ทุกคำ
ที่สำคัญ “บิ๊กอ๊อด” เป็นคนดีลสายตรงกับ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรี ให้กับ “ทักษิณ” มาโดยตลอด แม้บางครั้งดีลจะขาดตอนไปบ้าง ดีลแล้วจะผิดนัดกันบ้าง แต่ก็ยังใช้บริหาร “บิ๊กอ๊อด” ได้เสมอ เรียกได้ว่าประตูบ้านสี่เสาเทเวศร์ไม่เคย “ปิดตาย” สำหรับ “บิ๊กอ๊อด”
เพราะ “บิ๊กอ๊อด” ถือเป็นมือทำงานคนหนึ่งในช่วงที่ “ป๋าเปรม” เรืองอำนาจ
นอกจากนี้ “บิ๊กอ๊อด” ยังมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษกับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” แกนนำพรรคชาติพัฒนา ผู้มากคอนเนคชั่นทางการเมือง นั่นก็เพราะ “ท่านผู้หญิงไสว” แม่ยายของ “บิ๊กอ๊อด” เป็นเครือญาติของตระกูล “ลิปตพัลลภ” มาก่อน
เมื่อไล่เรียงดูคอนเนคชั่นของ “บิ๊กอ๊อด” ถือว่าไม่ธรรมดา และไม่แปลกที่จะมีคลิปเสียงพูดคุยกับ “นายใหญ่” ในเรื่องที่เป็นความลับระดับเอ็กซ์คลูซีฟที่สุด
แต่อีกมุมก็อาจเป็นวิกฤตทางการเมืองที่สุดในชีวิตของ “บิ๊กอ๊อด” ????
กลายเป็นข่าวใหญ่สั่นสะเทือนวงการ “การเมืองไทย” ไปในชั่วข้ามคืน เมื่อมีการเปิดเผยบทสนทนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ทางการเมืองไทย 2 คน
โดยส่วนหนึ่งของบทสนทนาพูดถึงแผนการวางหมาก-วางเกม กำหนดทิศทางการเมืองไทยไว้อย่างชัดเจน
เมื่อฟังเสียงจากคลิปเสียงตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว น้ำเสียงและเนื้อหาของการสนทนา ฝ่ายหนึ่งถูกโฟกัสไปที่ “บิ๊กอ๊อด - พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” ผู้ที่เพิ่งกลับเข้ามาเป็น รมช.กลาโหม ส่วนอีกฝ่ายโฟกัสกันไปที่ “นช.แม้ว - พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี
ไม่แปลกที่ “บิ๊กอ๊อด” จะออกมาปฏิเสธทันควันว่าไม่ใช่เสียงของตัวเอง แต่อย่าลืมว่าช่วงต้นของการสนทนามีการอ้างถึงอายุ 76 ปี ซึ่งพอดิบพอดีกับ รมช.กลาโหมหมาดๆ ที่เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2480 เมื่อหักลบกับ 2556
ก็เท่ากับว่า “บิ๊กอ๊อด” มีอายุ 76 ปี ตามที่ระบุไว้ในคลิปเสียง
และแน่นอนว่าคนในพรรคเพื่อไทย ย่อมต้องออกมาทำหน้าที่“สมุนแม้ว” ออกโรงมาตอบโต้แทน “นายใหญ่” ว่าเป็นการตัดต่อคลิปเสียง แต่ด้วยน้ำเสียงคุ้นหูโดยเฉพาะผู้ที่รับฟังการ “โฟนอิน” บ่อยๆ จึงฟันธงได้เลยว่าเป็น “เดอะแม้ว”อย่างแน่นอน
งานนี้ดูท่าแล้วจะดิ้นไม่ออกกันทั้งคู่
เมื่อย้อนสาแหรกของ “บิ๊กอ๊อด” พบว่าสืบทอดสายเลือดทหารมาตั้งแต่สมัยคุณพ่อ “พล.ท.อรรถ ศศิประภา”โดยมีพี่น้องร่วมสายเลือด “พล.อ.อัครเดช ศศิประภา” อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) หรือที่เรียกกันว่า “เสธ.แอ๊ว”
ดังนั้นตระกูล “ศศิประภา” จึงเป็นตระกูล “นายทหารใหญ่” มาตั้งแต่ “รุ่นพ่อ” แล้ว
อีกทั้ง “บิ๊กอ๊อด” ยังสมรสกับ “คุณหญิงอรพรรณ ศศิประภา” ซึ่งเป็นบุตรสาวของ “จอมพลประภาส จารุเสถียร ”กับ “ท่านผู้หญิงไสว จารุเสถียร” ซึ่งเป็นครอบครัวในทหารใหญ่ในอดีต
ซึ่งส่งผลให้ “บิ๊กอ๊อด” มีคอนเนคชั่นทางทหารเพิ่มขึ้น เรียกได้ว่าอนาคตในการรับราชการทหารใสปึ๊งตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพแล้ว อีกทั้งยังได้รับความเอ็นดูจาก “ป๋าเปรม - พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์”อีกด้วยในฐานะ “นายทหารลูกป๋า”
ตามประวัติ “บิ๊กอ๊อด” รับราชการในสังกัดกองทัพบก โดยมีตำแหน่งสำคัญ ไล่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 เป็นเสนาธิการกรมการรักษาดินแดน ต่อมาในปีพ.ศ. 2533 เป็นผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายการข่าว จนกระทั้งในปี พ.ศ. 2539เป็นผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
ก่อนมาปิดฉากชีวิตราชการในตำแหน่ง “ปลัดกระทรวงกลาโหม” ซึ่งเป็นช่วงที่เชื่อกันว่าเริ่มใกล้ชิดกับ “ทักษิณ” เป็นพิเศษ ในการอำนวยความสะดวกเรื่องธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานกันในตอนนั้น
และสิ่งหนึ่งที่ “บิ๊กอ๊อด”ถนัด และมีการอวดโอ้สรรพคุณตัวเองอยู่ในคลิปเสียงด้วย คือการที่เป็นนายทหาร “สายบุ๋น” เพราะเคยสังกัด “ฝ่ายข่าว” ทำให้รู้ความเคลื่อนไหวในเชิงลึกของทหารมาโดยตลอด
ที่สำคัญรู้ความเคลื่อนไหวของประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี โดยเฉพาะประเทศพม่าที่ปกครองด้วยเผด็จการทหารมายาวนาน ทำให้มีความแนบแน่นกันเป็นอย่างดี จึงถือเป็นมือไม้ให้ “ทักษิณ” เกี่ยวกับการเดินงานในประเทศเพื่อนบ้าน
ซึ่งหลังจากที่เกษียณอายุราชการเมื่อปี 2541 “บิ๊กอ๊อด” ผันชีวิตเข้าสู่ถนนสายการเมือง ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ “ทักษิณ” เซ็ตทีมงานเริ่มก่อร่างสร้าง “พรรคไทยรักไทย”
เมื่อ “ทักษิณ” ต้องการคอนเนคชั่นทางทหารและกองทัพ จึงส่งเทียบเชิญมายัง “บิ๊กอ๊อด” ให้เข้าร่วมทำงานในพรรคด้วยกัน “บิ๊กอ๊อด” จึงโอเค เยส เข้าร่วมงานกับ “ทักษิณ” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และคอยเป็น “กุนซือ” ทางการทหารให้กับ “ทักษิณ” มาโดยตลอด แต่คอยแอบประสานงานอยู่ “เบื้องหลัง”
จนกระทั่งปี 2544 “ทักษิณ” ไว้ใจและชื่นชอบการทำงานของ “บิ๊กอ๊อด” ที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ด้วย พร้อมมอบตำแหน่ง รมช.กลาโหม เพื่อดูแลน้องๆใน “กองทัพ” ถือเป็นการตบรางวัลแห่งความซื่อสัตย์ให้เป็นการตอบแทน
ความไว้เนื้อเชื่อใจ “ทักษิณ” ที่มีต่อ “บิ๊กอ๊อด” ดูได้จากการให้ดำรงตำแหน่ง รมช.กลาโหม ครบเทอม 4 ปี ก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่ในปี 2548
ซึ่งหลังจากนั้นสถานะทางการเมืองของ “ทักษิณ” เริ่มสั่นคลอน จนกระทั่งโดน “รัฐประหาร” ในปี 2549 ชื่อของ “บิ๊กอ๊อด” ก็หายเข้ากลีบเมฆไปพร้อมกับการผลัดอำนาจครั้งนั้น
จนเมื่อเดือน ส.ค.51 ชื่อของ “บิ๊กอ๊อด” กลับมามีบทบาทสำคัญต่อชีวิต “ทักษิณ” อีกครั้ง เมื่อเป็นคนวางแผนพาตัว “ทักษิณ” ออกจากประเทศ ก่อนที่จะมีการตัดสินคดีที่ดินรัชดา
โดยอาศัยฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย แต่งตั้ง “ทักษิณ” มานั่งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของโอลิมปิกแห่งประเทศไทย พอใกล้ถึงวันเปิดการแข่งขันมหกรรมโอลิมปิคที่เมืองจีน ก็ออกหมายเชิญไปร่วมงานเพื่อเป็นเกียรติ ที่กรุงปักกิ่งด้วย และปล่อยให้บินต่อไปไม่หวนกลับมาเมืองไทยจนถึงทุกวันนี้
เป็นที่มาของนิยาย “หนูช่วยราชสีห์” ในคลิปเสียง ที่ชายสูงอายุเสียงคล้าย “บิ๊กอ๊อด” พูดอย่างภาคภูมิว่า “ดีใจจังได้ช่วยราชสีห์สักครั้งหนึ่ง”
จนมาถึงช่วงจัดตั้งรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในปี 2553 นายทหารใหญ่ฆ่าไม่ตายอย่าง “บิ๊กอ๊อด” ก็มีชื่อโผล่เข้ามาใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 อีกครั้ง โดยได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม ซึ่งช่วงนั้นได้รับภารกิจคุมน้องใน “กองทัพ” ไม่ให้แตกแถว และก็ถูกมองว่าเป็นการตอบแทนผลงานมาสเตอร์พีซที่พา “นายใหญ่” หนีคุกออกจากประเทศแบบหวุดหวิด
ต่อมาช่วงต้นปี 2555 “บิ๊กอ๊อด” โดนปรับย้ายมานั่งตำแหน่ง “รองนายกรัฐมนตรี” เพื่อหลีกทางให้ “เพื่อนโอ๋ - พล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต " ของ “พี่แม้ว” ได้มานั่ง รมว.กลาโหมแทน
และในช่วงปลายปี 2555 “บิ๊กอ๊อด” ถูกปรับพ้นครม.ยิ่งลักษณ์ 3 แบบไม่รู้เนื้อรู้คัว แต่ก็ไม่ได้ออกอาการหัวฟักหัวเหวี่ยง จนล่าสุด “บิ๊กอ๊อด” คัมแบ๊คกลับมามีตำแหน่งเป็นรมช.กลาโหม ในครม.ยิ่งลักษณ์ 5 อีกครั้ง
เมื่อดูเส้นทางการเมืองของ “บิ๊กอ๊อด” แล้ว ถือว่านี่คือ “สายตรง” ของ “ตระกูลชินวัตร” คนหนึ่ง เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของ “ทักษิณ” มากที่สุดคนหนึ่ง
และโดยลักษณะนิสัยส่วนตัวของ “บิ๊กอ๊อด” ที่เป็นคนทำงาน ไม่เรื่องมาก โดยเฉพาะกับ “ทักษิณ” ไม่ว่า "ทักษิณ" จะสั่งการอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยากหรือง่าย “บิ๊กอ๊อด” ทำให้ได้เบ็ดเสร็จทุกอย่าง
ถึงขั้นไม่เคยมีเสียงบ่นให้ “ทักษิณ” ได้ยินเลย ดูจากการปรับ ครม.ที่โยกไปโยกมาก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่า “บิ๊กอ๊อด” พร้อมแสตนด์บายเพื่อ “นายใหญ่” ขนาดไหน
แต่สิ่งที่ “ทักษิณ” ประทับใจ “บิ๊กอ๊อด” มากที่สุดคือการพูดจา ที่ “บิ๊กอ๊อด” ที่แม้อายุมากกว่าเป็นสิบปีมักเรียก “ทักษิณ” ว่า “นาย” ทุกคำ
ที่สำคัญ “บิ๊กอ๊อด” เป็นคนดีลสายตรงกับ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรี ให้กับ “ทักษิณ” มาโดยตลอด แม้บางครั้งดีลจะขาดตอนไปบ้าง ดีลแล้วจะผิดนัดกันบ้าง แต่ก็ยังใช้บริหาร “บิ๊กอ๊อด” ได้เสมอ เรียกได้ว่าประตูบ้านสี่เสาเทเวศร์ไม่เคย “ปิดตาย” สำหรับ “บิ๊กอ๊อด”
เพราะ “บิ๊กอ๊อด” ถือเป็นมือทำงานคนหนึ่งในช่วงที่ “ป๋าเปรม” เรืองอำนาจ
นอกจากนี้ “บิ๊กอ๊อด” ยังมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษกับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” แกนนำพรรคชาติพัฒนา ผู้มากคอนเนคชั่นทางการเมือง นั่นก็เพราะ “ท่านผู้หญิงไสว” แม่ยายของ “บิ๊กอ๊อด” เป็นเครือญาติของตระกูล “ลิปตพัลลภ” มาก่อน
เมื่อไล่เรียงดูคอนเนคชั่นของ “บิ๊กอ๊อด” ถือว่าไม่ธรรมดา และไม่แปลกที่จะมีคลิปเสียงพูดคุยกับ “นายใหญ่” ในเรื่องที่เป็นความลับระดับเอ็กซ์คลูซีฟที่สุด
แต่อีกมุมก็อาจเป็นวิกฤตทางการเมืองที่สุดในชีวิตของ “บิ๊กอ๊อด” ????