รายงานการเมือง
“คดีรถหรู” ที่มีแต่คนนิยมความหรูหราใช้เป็นพาหนะคู่ใจนับวันยิ่งไม่ธรรมดา เพราะราคาที่แพงหูฉี่คนธรรมดาหมดสิทธิซื้อมาขับแน่นอน และยิ่งตรวจสอบ-ยิ่งสาวสืบ-ยิ่งสาวลึก-ยิ่งสาวไส้ ก็ยิ่งพบว่าพัวพันกับผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งข้าราชการ คนมีสี และหนักที่สุดคงเป็นพวกนักการเมือง
ใครมีชื่อเข้าพัวพัน ส่วนใหญ่ก็แอ็กอาร์ตโชว์แมนท้าให้ตรวจสอบ นั่งยันนอนยันทำถูกกฎหมายทุกบรรทัดแบบเป๊ะๆ จะมีบ้างก็พวกปัดสวะอ้าง ทะเบียนเก่าทำเรื่องโอนย้ายขายทิ้งไปนานสองนานแล้ว แต่โชคร้ายดันมีชื่อโผล่เป็นเข้าของอยู่ในบัญชีของรัฐ
คนที่เจ๋งสุดคงหนีไม่พ้น “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรีคนเก่ง ที่นิยมชมชอบจริงๆ กับพาหนะระดับ “ซูเปอร์คาร์” พอเกิดเรื่องเกิดราว มีการไล่เบี้ยคนหลายวงการตามบัญชีดำของ “ดีเอสไอ” เจ้าตัวคงกลัวตกเทรนด์หลุดกรอบไม่ได้เป็นข่าว เจาะจงเลือก “โรลล์สรอยซ์ โกสต์” ทะเบียน พอ 4444 กรุงเทพมหานคร ควบเข้าทำเนียบแบบโก้ๆ ไม่วายหัวร่อเอิ๊กอ๊ากว่า คันนี้นำเข้าถูกต้อง ไม่โง่พอจะใช้ของผิดกฎหมาย ก่อนมาหักมุกตอนท้ายว่า “คันนี้ยืมเค้ามา...”
ที่เซอร์ไพรส์ไปกว่านั้น เมื่อจู่ๆ “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” อดีต ส.ว.จอมคุ้ย โผล่พรวดมาสวมบทถนัด ร่อนจดหมายข่าหน้าซองถึง “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีดีเอสไอ เพื่อให้ตรวจสอบ “โรลล์สรอยซ์คันงาม” ของ “เฉลิม” แบบงงกันทั้งบางบอน
งานนี้ดูจะมีลับลมคมในอยู่พอสมควร เพราะรู้ทั้งกันทั้งบางบอนเหมือนกันว่า วันนี้ “เรืองไกร” เทกไซด์ข้างไหน
แต่การจะให้เจ้าภาพสอบรถหรูอย่าง “ดีเอสไอ” จมาตั้งเรื่องตรวจสอบ “รองฯ เฉลิม” โดยตรงเลยก็ดูจะตลกไม่น้อย เพราะรู้กันดีว่า “ดีเอสไอ” อยู่ในโอวาท “สารวัตรเหลิม” ขนาดไหน
จึงมีการวางให้ “เรืองไกร” เป็นตัวเปิดประเด็นเดินเกมยื่นเรื่องร้องแทน เพื่อขจัดข้อสงสัยในตัวของ “ธาริต” และเพื่อขจัดข้อสงสัยในการถือครอง “รถหรู” ของ “เหลิม”
แต่ดูเหมือน “เหลิม” จะคิดตื้นไปโดยใช้คนเดินเกมผิดตัว เพราะแม้ “เรืองไกร” จะได้รับฉายา “นักฟ้องร้องมืออาชีพ” โดยเฉพาะคดีที่มีส่วนโค่นล้ม “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ในระยะหลังก็ถูกจับได้ว่ามีการเชื่อมสายสัมพันธ์กันแนบแน่นกับ “นายใหญ่” เดินทางไปหารือกันไกลถึง “ดูไบ” มาหลายครั้ง
แปลงร่างจาก “ศัตรู” เป็น “มหามิตร” ไปแล้ว
ยิ่งเชื่อมสัมพันธ์กันให้ลึกเข้าไปอีกจะพบว่า “เรืองไกร” สนิทสนมเป็นพิเศษกับ “ไพวงษ์ เตชะณรงค์” เจ้าพ่อโบนันซ่า และประธานบริหารหนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ “กระบอกเสียง” ตัวหนึ่งของ “พ.ต.ท.ทักษิณ”
“เรืองไกร” ทุกวันนี้ก็เข้านอกออกในออฟฟิศบางกอกทูเดย์เป็นว่าเล่น และเป็นที่รู้กันดีในวงการว่า “เสี่ยไพวงษ์” สั่ง “เรืองไกร” ซ้ายหันขวาหันได้ตลอด
ที่สำคัญว่ากันว่า “เรืองไกร” เคารพรัก “ไพวงษ์” อย่างมาก จนยกให้เป็น “พี่” ที่แสนดีคนหนึ่ง ขออะไรก็จัดเต็มจัดให้กันได้ตลอด
ซึ่งความสัมพันธ์ “เหลิม-ไพวงษ์” แนบแน่นกันระดับคู่หูดูโออยู่แล้ว
และจะไม่ให้สงสัยกันได้อย่างไร เพราะจู่ๆ “เหลิม” ก็ออกมาให้พูดเองเออเองว่า “เรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นการเล่นละคร นายเรืองไกรมีเจตนาดีต้องการจะพิสูจน์ความถูกต้องความชอบธรรมของรถยนต์คันนี้ ต้องขอขอบคุณด้วย”
ทั้งที่ยังไม่มี “นักข่าว” คนไหนยิงคำถาม ยังไม่มีใครสงสัย แต่ “สารวัตรเหลิม” พูดมาเองว่าไม่ได้เล่นละคร เพื่อชิงออกตัวขจัดข้อสงสัยกันก่อน เพราะรู้ว่าสุดท้ายต้องโดนเชื่อมโยงสายสัมพันธ์ว่า “เหลิม” ซี้ปึ้ก “ไพวงษ์” และ “ไพวงษ์” ก็เป็นลูกพี่ “เรืองไกร”
ไล่ไปไล่มาก็ “คนกันเอง” ก๊งไวน์กันประจำ
การที่ “เรืองไกร” จะฟ้อง “เหลิม” อ่านง่ายๆ ว่ามีจุดประสงค์แอบแฝง แล้วยังมีช็อตต่อเนื่องที่ “เหลิม” ทำฉุนสั่งลูกน้องออกแอ็กชันแรงๆ ฟ้องกลับ “เรืองไกร” ข้อหาหมิ่นประมาท เรียกร้องค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ก็แค่แก้เกี้ยวเป็นธรรมดา เพราะข้อหาหมิ่นประมาทก็ยอมความกันได้
งานนี้มองขาดๆ ได้เลยว่ากะกินสองเด้ง
เด้งแรก “เหลิม” รู้อยู่เต็มอกว่าฟ้องหมิ่นประมาท “เรืองไกร” สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็คงไม่ส่งฟ้อง เพราะอาเข้าจริงถือเป็นสิทธิที่ประชาชนอย่าง “เรืองไกร” จะยื่นตรวจสอบบุคคลสาธารณะอย่าง “เฉลิม” ที่สำคัญไม่ได้กล่าวหาว่าทุจริตคอร์รัปชัน เพียงสงสัยว่ายื่นสำแดงรถยนต์เป็นเท็จหรือไม่
ในทางกลับกัน หาก “ดีเอสไอ” รับลูกตั้งสอบ “โรลล์สรอยซ์คันงาม” ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ “ฟอกขาว” ให้ “เหลิม” ได้ไม่เป็นที่สงสัยของสังคม แถมได้คุยโม้เต็มปากด้วยว่า “ดีเอสไอ” เอาจริงกับคนทุกระดับ แม้แต่ “รองนายกฯ” ยังโดน และหากรถยนต์ถูกต้องก็ยิ่งกินนิ่ม
ไม่เช่นนั้นก็เหมือน “ชนัก” ที่ยังคิดหลังอยู่ตลอด
เด้งที่สอง “เหลิม” คงตั้งใจสร้างผลงานเอาใจ “นายใหญ่-นายหญิง” ยอมเอาตัวเข้าแลก สร้างข่าวขยายความ เบียดประเด็นหน้าหนึ่ง โดยเฉพาะในห้วงที่รัฐบาลโดนของหนักประดังประเดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เอาแค่ปม “จำนำข้าว” ก็เล่นเอาแผลเหอวะหวะกันทั้งรัฐบาลแล้ว
แต่คนอย่าง “อดีตสารวัตรกองปราบ” ก็เล่นเสี่ยงแบบเซฟๆ ใช้ “คนกันเอง” มาเข้าฉาก จะได้ไม่นอกบททำเจ็บตัวโดยใช่เหตุ
กลายเป็นลิเกที่เล่นกันเอง เฮกันเอง แบบชาวบ้านเขารู้ทัน