เกาะกระแส
00 เวลานี้ถ้าถามว่าเรื่องใดที่จะทำให้ ทั้ง ทักษิณ ชินวัตร กับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พังไปด้วยกันก็ต้องว่าที่เห็นอาการก็มี “จำนำข้าว” นี่แหละ ที่อยู่ในอาการโคม่าเรื่อยๆ เพราะไม่ว่าต่อให้คนด้อยสติปัญญาแค่ไหน พอจะบวกลบเลขพื้นฐานได้ก็ต้องเข้าใจว่า “เจ๊ง” เป็นอย่างไร “ขาดทุน” เป็นอย่างไร มีอย่างที่ไหนซื้อแพงกว่าราคาตลาด มันจะไปได้กำไรอย่างไร มีทางเดียวถ้าจะขายก็ต้องขายขาดทุน แล้วแต่ว่าจะขาดทุนมากขาดทุนน้อย แต่สำหรับข้าวที่เป็นสินค้าเกษตร “เน่าเสีย” เสื่อมสภาพเร็วก็ต้องบอกว่าอยู่ในระดับ “ขาดทุนมาก” และเวลานี้ ที่รมว.พาณิชย์ บุญทรง เตริยาภิรมย์ กับ รมช.”อำมาตย์ไพร่” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ช่วยกันเถียงคอเป็นเอ็นว่าไม่ขาดทุนแต่บอกไม่ได้ว่าขาดทุนเท่าไหร่ ความหมายก็คือ มันขาดทุนแหงๆ เพียงแต่ถ้าแจงตัวเองออกมาเมื่อไหร่ มันก็ยิ่งต้องถูกตรวจสอบแคะคุ้ยมากเรื่องไปอีก ก็ต้องปิดลับลั่นดาลมันซะเลย
00 ที่ทุเรศทุรังมากไปกว่านั้นก็คือในคำชี้แจงแบบไม่ชี้แจงเมื่อวันก่อนถูกนักข่าวซักจนไปไม่เป็น จนต้องบิดเบือนท่องมาตามสูตรว่า “ชาวนาได้ประโยชน์” ก็ไม่อยากเถียง แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปยอดขาดทุนสามสี่แสนล้านบาทจนเจ๊งกันทั้งระบบแบบนี้มันก็ไม่ไหว และที่สำคัญชาวนาได้ประโยชน์จริงหรือเปล่า เพราะจากข้อมูลที่ตรงกันคนที่รวยกันจนพุงปลิ้นก็เป็นพวกชานานายทุนรายใหญ่ เจ้าของโรงสี และนักการเมืองกินหัวคิว โดยเฉพาะ “เจ๊ด.” ขาใหญ่ในรัฐบาลต่างหาก และการที่ บุญทรงบอกว่า ไม่ขาดทุน แต่เปิดเผยไม่ได้ต้องรออีก 3 ปี หรือจนกว่าจะขายข้าวในสต็อกหมด อ้าวแล้วข้าในฤดูกาลใหม่ที่สมทบเข้ามาจะทำอย่างไร ไม่ต้องยืดเวลาออกไปอีกหรือ ทางที่ดีน่าจะให้รัฐบาลนี้จบไปก่อนดีกว่าถึงจะได้รู้ตัวเลขความ “ฉิบหาย”ว่ามันมีเท่าไหร่กันแน่
00 อย่างไรก็ดีจากโครงการ “จำนำข้าว” ดังกล่าว เริ่มเห็นร่องรอยความขัดแย้ง เอาตัวรอดของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง นั่นคือ พาณิชย์กับคลัง เพราะงานนี้เชื่อว่ากระทรวงการคลังโดยที่นำโดย กิตติรัตน์ ณ ระนอง คงไม่อยากพังไปพร้อมกับ บุญทรง ถ้าสังเกตจะเห็นว่า ฝ่ายคลังพยายามย้ำอยู่เสมอว่าพาณิชย์นั่นแหละปิดบังตัวเลข จนไม่อาจตรวจสอบได้ ขณะที่ “เสี่ยบุญทรง” ก็ไม่กล้าให้ตัวเลขจริง ไม่อยากให้ใครมายุ่งจึงต้องนั่ง “ทับขี้” แทบจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว แต่ในทางการเมืองก็ต้องเก็บอาการอย่างเต็มที่ ทั้งที่ “เคือง” เต็มที เพราะกลายเป็นว่ากำลังถูกลอยแพ ขณะเดียวกันเมื่อตัวเลขขาดทุนจริงมันบานปลายทำให้กิตติรัตน์ต้องประเมินใหม่ ล่าสุดมีการดึง “สุภา ปิยะจิตติ” รองปลัดกระทรวงการคลังที่เคยเป็นประธานปิดบัญชีโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรที่เคยเผยตัวเลขจำนำข้าวเจ๊ง 2.6 แสนล้านบาทจนกระหึ่มไปทั่วกลับให้มากทำหน้าที่เดิมอีกครั้ง หลังจากถูกปลดไม่กี่วัน ความหมายก็คือนอกจากเป็นการ “เอาตัวรอด” ของแต่ละฝ่ายแล้ว ถ้ายังขืนให้พาณิชย์ปิดตัวเลขต่อไปอนาคตมีหวังถูกมูดี้ส์ปรับลดเครดิตแน่ ถึงตอนนั้นป่วนแน่ โดยเฉพาะโครงการ “โคตรกู้” 2 ล้านล้านที่เล็งเอาไว้มามั่วมาถมสภาพคล่องสารพัดโครงการประชานิยมก็ต้องฝันสลายไปด้วย
00 อีกคนที่น่าสมเพชในเวลานี้ก็เห็นจะเป็น “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีดีเอสไอที่ทำขึงขังโดดเข้ามาคุ้ยตรวจสอบรถหรูเอาดื้อๆ ทำราวกับว่าการทุจริตนำเข้ารถพวกนี้มันเพิ่งขึ้นหลังจากรถเทรลเลอร์บรรทุกรถราคาแพง 6 คันคว่ำที่กลางดงเมื่อวันก่อนเสียเมื่อไหร่ คำถามก็คือทำไมเพิ่งตาลีตาเหลือกมาทำคดีพิเศษเอาช่วงนี้ ที่อ้างว่าติดตามมาสองปีแล้ว มีปากก็พูดไปเรื่อย สิ่งที่เขาสงสัยก็คือเข้ามาเพื่อ “ตัดตอน” ไม่ให้สาวไปถึง “นักการเมืองขาใหญ่” หรือเปล่า ชาวบ้านเขาไม่เชื่อน้ำยาแล้ว !!