“ชวนนท์” จวก แก๊งแดง ร้อง ปชต.แต่ทำตัวเผด็จการ ไม่ฟังความเห็นต่าง ถือวิสาสะปิดถนนค้นรถ ปชช.ขวางเวทีผ่าความจริง ปชป.จนต้องย้ายเวทีหนี ลั่นเอาผิด จี้ จนท.รักษา กม.ค้านนิรโทษฯสุดลิ่ม ปลุก ปชช.แสดงพลัง เชื่อส่อมิกสัญญี เตรียมตั้งเวทีคู่ขนาน รบ.ค้าน “องอาจ” ชี้ นิรโทษฯอำพรางช่วยแกนนำ พ่วงนายใหญ่ อ้างเหตุไร้อำนาจสั่งเผาเมือง แถมใช้ พ.ร.บ.ปรองดอง เอื้อประโยชน์ ยก เสวนาลดแตกแยก ฝืนลุยไม่รอด ในและนอกสภาขัดแย้งแบบปีก่อน
วันนี้ (21 เม.ย.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ประณามพฤติกรรมคนเสื้อแดงศรีสะเกษที่ไปขัดขวางการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตยผ่านเวทีผ่าความจริง ซึ่งเดิมจะมีการปราศรัยที่มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ แต่คนเสื้อแดงไปปิดสามแยกที่เป็นทางเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่ช่วงเช้าไม่ให้คนเดินทางเข้าไป สร้างความเดือดร้อนให้กับนักศึกษา ประชาชน อย่างมาก และมีการใช้อำนาจนอกระบบโดยมีการค้นรถประชาชนทุกคันเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ อีกทั้งยังมีการยึดเสื้อพรรคประชาธิปัตย์ เสื้อสายล่อฟ้า ด้วย จึงต้องถามว่านี่คือพฤติกรรมของนักประชาธิปไตยหรืออันธพาล เพราะไม่รับฟังผู้ที่เห็นต่างจะเรียกตัวเองเป็นผู้เรียกร้องประชาธิปไตยได้อย่างไร ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องย้ายเวทีปราศรัยไปที่โรงเรียนเทศบาล 7 แต่กลุ่มคนเสื้อแดงก็ยังเคลื่อนขบวนตามมาโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การเรียกร้องประชาธิปไตย แต่เป็นการเรียกร้องเผด็จการ ไม่รับฟังความเห็นของคนอื่น และไม่ฟังข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้นจึงขอเรียกร้องว่าเจ้าหน้าที่ควรต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะมีการฝ่าฝืนกฎหมายชัดเจน โดย นายอิสระ สมชัย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กำลังรวบรวมข้อมูล และจะดำเนินคดี ซึ่งมีประชาชนพร้อมเป็นพยานให้การว่าถูกละเมิดสิทธิอย่างไร จึงขอให้ดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา อย่าให้ใครมีอภิสิทธิ์ชนในประเทศนี้
นายชวนนท์ ประกาศด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์จะคัดค้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรมจนถึงที่สุด เพราะจะทำให้คนที่ฆ่าคน หมิ่นสถาบัน เผาเมือง ไม่ต้องติดคุก พวกตนจะคัดค้านอย่างเต็มที่ทุกวิถีทางภายใต้ระบอบประชาธิปไตย และขอบเขตของกฎหมาย และจะเพิ่มการให้ข้อมูลกับประชาชนมากขึ้นเกี่ยวกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรม และการทุจริตคอร์รัปชัน จะไม่ยอมให้ลูกหลานตกอยู่ในความกลัว จึงขอเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นมาแสดงตนเป็นเจ้าของประเทศ ร่วมกันคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรมที่สนับสนุนพฤติกรรมอันธพาลที่จะทำให้ประเทศเข้าสู่สภาวะมิกสัญญีอย่างแท้จริง ตนและพรรคประชาธิปัตย์จะดำเนินการในช่วงปิดสมัยประชุม ควบคู่ไปกับที่รัฐบาลที่จะจัดเวทีด้วย โดยประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็สามารถแสดงออกได้ตามกรอบของกฎหมาย
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่มีการเสนอให้เลื่อนขึ้นมาพิจารณาเป็นวาระแรกในการประชุมสภาสมัยหน้าว่า ส.ส.เสื้อแดงพยายามที่จะอ้างว่า การเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ถูกดำเนินคดีโดยไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับการก่อเหตุในปี 2553 จนนำไปสู่การเผาเมือง แต่เมื่อพิจารณารายละเอียดในร่างกฎหมายดังกล่าว จะพบว่าเป็นร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมอำพรางไว้ในมาตรา 3 และมาตรา 4 โดยมีข้อสังเกตดังนี้ แม้เนื้อหากฎหมายจะระบุว่าไม่รวมการกระทำของแกนนำที่มีอำนาจตัดสินใจ ซึ่งไม่มีใครยืนยันได้ว่าข้อความนี้จะไม่เป็นการอำพรางเพื่อช่วยเหลือใครคนใดคนหนึ่ง รวมถึงช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย เพราะเชื่อว่าน่าจะมีการนิรโทษกรรมรวมด้วย โดยอ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีอำนาจตัดสินใจหรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหว นอกจากนี้ยังมีการอำพรางในมาตรา 4 โดยใช้กฎหมายเพื่อช่วยให้พ้นผิดทุกกรณีมีการระบุไว้ว่า เมื่อพระราชบัญญัติมีผลบังคับใช้ หากคดียังอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวนก็ให้ระงับการสอบสวน ถ้าฟ้องแล้วก็ให้ถอนฟ้อง ถ้าอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลก็ให้ศาลจำหน่ายคดี และถ้าพิพากษาไปแล้วก็ให้ถือว่าไม่เคยต้องโทษตามคำพิพากษา ซึ่งเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม นอกจากนี้ยังซ่อนการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เคยต้องคำพิพากษาแล้วด้วย
นายองอาจ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังเชื่อว่าจะมีการนำกฎหมายนิรโทษกรรมที่รัฐบาลเคยเสนอเป็น พ.ร.บ.ปรองดองมาพิจารณารวมในคราวเดียวกัน โดยรัฐบาลจะอ้างว่าเป็นกฎหมายลักษณะเดียวกันให้พิจารณารวมในคราวเดียวกัน ถ้านำกฎหมายเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมในชื่อ พ.ร.บ.ปรองดองมาพิจารณารวมกันก็จะเอื้อประโยชน์ให้คนบางคนและคนบางกลุ่มอย่างครบวงจร เพราะฉะนั้นการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมครั้งนี้คือการนิรโทษกรรมอำพราง ตนคิดว่าหากรัฐบาลหรือเสียงข้างมากอยากเห็นการปรองดองที่แท้จริงในบ้านเมืองนั้น รัฐบาลต้องเริ่มดำเนินการตามที่เคยพูดว่าจะเริ่มจากการสานเสวนาเพื่อเดินหน้าสู่การปรองดองอย่างแท้จริง และช่วยกันยุติความแตกแยกได้มากกว่าการใช้วิธีการหักดิบ เพื่อเดินหน้านิรโทษกรรมแต่เพียงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะดำเนินการต่อไปนี้จะย้อนรอยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือไม่สามารถผ่านสภาไปได้ แต่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในสภา และนอกสภาก็จะมีการชุมนุมคัดค้านอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นการชุมนุมคัดค้านที่ขยายวงไปเรื่อยๆ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปีที่แล้ว การผลักดันเรื่องนี้อีกครั้งจะนำไปสู่ความแตกแยกที่รุนแรงเพิ่มเติมมากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นตนเห็นว่าเสียงข้างมากของรัฐบาลควรตระหนักถึงปัญหาความแตกแยกที่อาจจะบานปลายกลายเป็นปัญหาของสังคมไทยเพิ่มเติมจากการผลักดันการนิรโทษกรรมครั้งนี้