คืบหน้าคดี ปชป.รับบริจาคเงินน้ำท่วม รายงานแจ้ง ปธ.กกต.ให้ยกคำร้อง แต่เสียงข้างมากขอสอบต่อ แย้มถ้าผิดจริงโดนแค่บุคคล ส่อวุ่นเรื่องสอบปีกว่าไม่แล้วเสร็จ แถม ญาติเมีย นช.แม้ว รับผิดชอบไต่สวนคดี ได้ย้ายตำแหน่งลงชุมพร ต้องขึ้นมาประชุม 2 เดือนครั้ง
วันนี้ (16 เม.ย.) รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจ้งถึงความคืบหน้ากรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 62 ประกอบมาตรา 73 ยื่นเรื่องต่อนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ให้ตรวจสอบกรณีพรรคประชาธิปัตย์ อาจกระทำการเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 65, 71, 82 ประกอบ มาตรา 42 วรรคสอง จากการเปิดศูนย์ช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประสบภัยน้ำท่วม เมื่อเดือน พ.ย. 2554 เพื่อรับบริจาคการสนับสนุนจากประชาชน ภาคเอกชน มีลักษณะการรับบริจาคบางส่วนที่อาจขัดต่อ พ.ร.บ.พรรคการเมืองมาตรา 71 ซึ่งเป็นการรับเงินบริจาค 1 ล้านบาทของบริษัท อีสท์วอเตอร์ จำกัด (มหาชน) และการบริจาคน้ำดื่ม 850 โหลว่า กรณีดังกล่าวนี้นายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง มีความเห็นให้ยกคำร้องทั้ง 2 เรื่องไปแล้วโดยมองว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความผิด โดยเฉพาะเรื่องเงินบริจาคนั้นที่นายทะเบียนฯ เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นแค่ตัวกลางในการผ่านเงินเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนได้เสียหรือรับประโยชน์อื่นจากเงินดังกล่าว
แต่เมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองได้เสนอต่อที่ประชุม กกต. ปรากฏว่า กกต.เสียงข้างมากไม่เห็นด้วยที่จะให้ยกคำร้อง เพราะเห็นว่ายังมีประเด็นที่ต้องสอบต่ออีก ดังนั้นทาง กกต.จึงได้มีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการขั้นมาไต่สวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตามมาถึงขณะนี้แล้วประเด็นยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตามที่นายเรืองไกร ร้องมา ถึงแม้หากตรวจสอบแล้วพบความผิดก็จะเป็นความผิดรายบุคคลเท่านั้น
ทั้งนี้ รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับคำร้องที่นายเรืองไกรร้องมาให้ตรวจสอบประเด็นเงินบริจาค 1 ล้านบาท ของบริษัท อีสท์ วอเตอร์ จำกัด ที่บริจาคผ่านพรรคประชาธิปัตย์นั้นได้ร้องมาตั้งแต่เดือน ม.ค. 2555 จนกระทั้งขณะนี้เรื่องก็ยังคาราซังอยู่ สอบไม่แล้วเสร็จ อีกทั้งผู้ที่รับผิดชอบ ซึ่งเป็นเลขาฯ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการไต่สวน คือ นางวราพร ณ ป้อมเพชร ผู้อำนวยการฝ่ายตรวจสอบระบบบัญชี สำนักงาน กกต.ได้มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งไปเป็น ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดชุมพร แล้วตั้งแต่เดือนที่ผ่านมา แต่ทางกกต.ก็ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนตัวผู้ที่ทำหน้าที่แทนนางวราพร ดังนั้น นางวราพรก็ต้องเดินทางมาประชุมที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อคณะอนุกรรมการไต่สวนเรียกประชุม ซึ่ง 1 เดือนจะมีการนัดประชุม 2 ครั้ง
วันนี้ (16 เม.ย.) รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจ้งถึงความคืบหน้ากรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 62 ประกอบมาตรา 73 ยื่นเรื่องต่อนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ให้ตรวจสอบกรณีพรรคประชาธิปัตย์ อาจกระทำการเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 65, 71, 82 ประกอบ มาตรา 42 วรรคสอง จากการเปิดศูนย์ช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประสบภัยน้ำท่วม เมื่อเดือน พ.ย. 2554 เพื่อรับบริจาคการสนับสนุนจากประชาชน ภาคเอกชน มีลักษณะการรับบริจาคบางส่วนที่อาจขัดต่อ พ.ร.บ.พรรคการเมืองมาตรา 71 ซึ่งเป็นการรับเงินบริจาค 1 ล้านบาทของบริษัท อีสท์วอเตอร์ จำกัด (มหาชน) และการบริจาคน้ำดื่ม 850 โหลว่า กรณีดังกล่าวนี้นายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง มีความเห็นให้ยกคำร้องทั้ง 2 เรื่องไปแล้วโดยมองว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความผิด โดยเฉพาะเรื่องเงินบริจาคนั้นที่นายทะเบียนฯ เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นแค่ตัวกลางในการผ่านเงินเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนได้เสียหรือรับประโยชน์อื่นจากเงินดังกล่าว
แต่เมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองได้เสนอต่อที่ประชุม กกต. ปรากฏว่า กกต.เสียงข้างมากไม่เห็นด้วยที่จะให้ยกคำร้อง เพราะเห็นว่ายังมีประเด็นที่ต้องสอบต่ออีก ดังนั้นทาง กกต.จึงได้มีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการขั้นมาไต่สวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตามมาถึงขณะนี้แล้วประเด็นยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตามที่นายเรืองไกร ร้องมา ถึงแม้หากตรวจสอบแล้วพบความผิดก็จะเป็นความผิดรายบุคคลเท่านั้น
ทั้งนี้ รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับคำร้องที่นายเรืองไกรร้องมาให้ตรวจสอบประเด็นเงินบริจาค 1 ล้านบาท ของบริษัท อีสท์ วอเตอร์ จำกัด ที่บริจาคผ่านพรรคประชาธิปัตย์นั้นได้ร้องมาตั้งแต่เดือน ม.ค. 2555 จนกระทั้งขณะนี้เรื่องก็ยังคาราซังอยู่ สอบไม่แล้วเสร็จ อีกทั้งผู้ที่รับผิดชอบ ซึ่งเป็นเลขาฯ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการไต่สวน คือ นางวราพร ณ ป้อมเพชร ผู้อำนวยการฝ่ายตรวจสอบระบบบัญชี สำนักงาน กกต.ได้มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งไปเป็น ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดชุมพร แล้วตั้งแต่เดือนที่ผ่านมา แต่ทางกกต.ก็ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนตัวผู้ที่ทำหน้าที่แทนนางวราพร ดังนั้น นางวราพรก็ต้องเดินทางมาประชุมที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อคณะอนุกรรมการไต่สวนเรียกประชุม ซึ่ง 1 เดือนจะมีการนัดประชุม 2 ครั้ง
