ผบ.ทบ.เผยทหารพร้อมหากศาลโลกตัดสินพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของกัมพูชา แต่หวังศาลไม่ตัดสินแบบนั้น หวั่นเกิดปัญหา ชี้อยากให้คุยแบบทวิภาคีมากกว่า ทำอย่างไรถึงจะไม่ละเมิดกติกา โอดถูกกล่าวหาทหารไม่ดูแลชายแดน ชี้ต้องสู้ในแนวทางสันติ เริ่มด้วยกฎหมายก่อน ปราม “ม็อบไชยวัฒน์” รักชาติให้ถูกต้อง อย่าให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย
เมื่อวันที่ 21 ม.ค. ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติรักษ์แผ่นดินจะออกมาชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาลโลกกรณีเขาพระวิหารว่า ก็ชุมนุมกันไป ประชาชนทุกคนคงรักชาติ แต่อยากให้รักอย่างถูกต้อง ซึ่งมีกฎกติกาอยู่ ปัญหาคือเขายังไม่เข้าใจ และตนคงจะไปห้ามไม่ได้ เพราะจะตำหนิตนว่าไม่รักชาติ ทั้งนี้ มีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นได้ แต่อย่าให้เกิดความรุนแรง และอย่าให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย หรือให้ใครนำไปใช้ประโยชน์ในเรื่องอื่น โดยอย่านำไปเป็นคดีการเมืองต่อไป ตนคิดว่าคนละเรื่อง ในส่วนที่เขารักชาติโดยบริสุทธิ์ใจ ไปห้ามไม่ได้อยู่แล้ว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ต้องแยกเป็น 2 เรื่อง คือ กระบวนการของศาลโลกซึ่งเขามีสิทธิไปฟ้องต่อศาล เราก็ต้องรอคำตัดสินว่าจะออกมาอย่างไร จะเข้าข่ายว่าเป็นคดีเก่าที่เกี่ยวข้องกับอาณาเขต เส้น Vicinity (ใกล้เคียง) หรือไม่ และศาลจะรับพิจารณาหรือไม่ก็เป็นสิทธิของศาล ซึ่งหากรับแล้วจะติดสินอย่างไร ก็ต้องต่อสู้กันตามกระบวนการ ขณะนี้ทุกคนร่วมกันต่อสู้ จะชนะหรือแพ้ก็ต้องรอฟัง จากนั้นก็ต้องมาดูว่าจะทำอย่างไรต่อไป บางอย่างพูดไม่ได้เลยในวันนี้ อีกเรื่องคือมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งตนจำเป็นต้องพูด เพราะมีผลกระทบกับตน และทหาร โดยมาตรการดังกล่าวเกิดจากการละเมิดข้อ 5 ของเอ็มโอยู 2543 ที่ระบุว่าพื้นใดที่มีปัญหาในสองประเทศนั้น ต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยไม่มีการดัดแปลงก่อสร้าง เมื่อมีฝ่ายใดละเมิดก็มีการประท้วง ที่ผ่านมาประท้วงกันไปหลายสิบครั้งแล้วก็รบกัน ซึ่งเอ็มโอยูฉบับนี้ไม่ได้เป็นการยอมรับเส้นเขตแดน
“ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการอยู่ เมื่อจบเรื่องคำพิพากษาศาลโลกเราก็ได้คิดและได้วางแผนร่วมกัน ประเด็นสำคัญคือเราอยากให้มีการพูดคุยกันสองประเทศแบบทวิภาคีมากกว่า ที่มาบอกว่าเราไปยอมรับ ความจริงเราไม่ได้ยอมรับ มาตราส่วนตามแผนที่ต่างคนต่างก็ถือไป สำคัญคือจะอยู่ร่วมกันอย่างไร และถ้าจะอยู่กันก็ต้องไม่ละเมิดกติกา ขณะนี้มีสองส่วนคือ รอคำพิพากษาของศาลโลก และการปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวที่ออกมาเพราะมีการปะทะกันระหว่างวันที่ 2-4 เม.ย. 2554 ซึ่งรบกันแรงพอสมควร เพราะฉะนั้น ถ้าหลีกเลี่ยงการรบกันได้ก็ดี แต่ทหารพร้อมอยู่แล้วทุกเรื่อง แต่ท้ายสุดถ้าจะรบกัน จะบานปลายหรือเปล่า อันนี้เป็นเรื่องที่พวกเราต้องตัดสินใจกัน เพราะเราพร้อมรบทุกอย่าง ถ้าตัดสินใจว่ารบก็คือรบ แต่ผมว่ามีกติกาอยู่ ต้องรอให้ชัดเจนก่อน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามย้ำว่า ได้มีการเตรียมพร้อมหรือไม่ หากศาลโลกตัดสินว่าพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของกัมพูชา พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า พร้อมมาตลอด ทหารเขาพร้อมหมดแล้ว แต่ตนคาดหวังว่าจะไม่ตัดสินออกมาอย่างนั้น เพราะจะเป็นปัญหา ซึ่งตนไม่รู้ว่าเขาจะตัดสินด้วยอะไร เพราะไทยก็ถือแผนที่ของเรา ถ้าเขาถือแผนที่ของเขา แล้วเราต้องปฏิบัติตามหรือไม่ ก็ต้องไปว่ากัน รัฐบาลก็ต้องเรียกฝ่ายความมั่นคงมาพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไร ขณะนี้ตนอยากให้ทุกคนร่วมกันคิดร่วมกันทำ และวันนี้ก็กำลังทำเช่นนั้นอยู่ อย่ามากล่าวหาว่าตนเลือกข้าง เพราะอย่างที่ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด บอกแล้วว่าแต่ละฝ่ายมีหน้าที่ของตนก็ทำไป
“แต่มีคนมาบอกว่าทหารไม่ดูแลชายแดน ซึ่งเราดูแล มีบาดเจ็บ ล้มตาย อย่าลืมว่าเรารบมากี่ครั้งแล้ว ปี 2554 เรารบมา ตายไปหลายคน ทุกคนก็ภูมิใจว่าเขารักษาแผ่นดินไว้ได้ กองทัพบกมีหน้าที่ในการรักษาพื้นที่ทางบกทั้งหมด 5 พันกว่ากิโลเมตร เขาพระวิหารก็เป็นส่วนหนึ่งที่ต้องดูแล แต่เป็นจุดที่มีความสำคัญและเป็นปัญหาระหว่างประเทศ ถือเป็นพื้นที่ความขัดแย้งแต่อย่าเรียกเป็นอย่างอื่น ต่างคนก็ต้องต่อสู้ในหนทางที่สันติก่อน ถ้ารบกันมันง่าย แต่คนที่ได้รับความสูญเสียคือประชาชน เพราะทหารเป็นธรรมดาเราทำใจได้ แต่ประชาชนที่สูญเสียจะทำอย่างไร ก็ว่ากันใหม่ เพราะอาวุธสมัยใหม่รุนแรงขึ้น ส่วนใหญ่ทหารมีเครื่องป้องกันตนเอง แต่ชาวบ้านไม่มี และประชาชนตามแนวชายแดนก็จะไม่สงบสันติ ก็ต้องไปถามเขาด้วยว่าจะเอาอย่างไร แต่ท้ายสุดแผ่นดินเป็นส่วนที่เราต้องรักษาไว้ให้ได้ ต้องเริ่มด้วยกฎหมายก่อน เรื่องกำลังใช้เมื่อไหร่ก็ใช้ได้ ไม่ต้องห่วง เราก็พร้อมอยู่แล้ว“ พล.อ.ประยุทธ์กล่าว