“องอาจ” ขอ “ยิ่้งลักษณ์” ปรับ 5 พฤติกรรม ลอยตัวเหนือปัญหา, ไม่กล้าตัดสินใจ, ไม่ใส่ใจรากหญ้า, ดื้อตาใส และเมินงานสภา เชื่อ รัฐสานเสวนาแก้ รธน.หาข้อสรุปไม่ได้ พร้อมจับตาทำเพื่อประโยชน์ใคร ชี้ “เจ๊ ด.” ยังฮิตปีหน้า
วันนี้ (30 ธ.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า พฤติกรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในปี 2555 และไม่อยากให้เกิดขึ้นในปี 2556 นั้น พรรคประชาธิปัตย์อยากให้ปรับพฤติกรรม เพื่อให้การทำงานเกิดประโยชน์กับประชาชน คือ 1.การลอยตัวเหนือปัญหา เห็นได้ชัดเจนว่าปัญหาที่นายกรัฐมนตรีเอาตัวเองออกมาจากปัญหา โดยเฉพาะปัญหาชายแดนภาคใต้ ที่ขณะที่เกิดความรุนแรงมากขึ้น แต่นายกรัฐมนตรีกลับไม่ได้ แก้ปัญหาอย่างจริงจัง พยายามปัดปัญหาให้พ้นตัว
นายองอาจ กล่าวว่า 2.ไม่กล้าตัดสินใจ โดยเฉพาะปัญหาหลายเรื่องของบ้านเมืองที่เกิดขึ้น จะเห็นว่า ไม่กล้าตัดสินใจ รอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นพี่ชาย มาชี้นำมาก่อน และหลังจากนั้น นายกรัฐมนตรี ก็จะประพฤติปฏิบัติตามการชี้นำนั้นๆ เช่น การทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือว่าเรื่องนี้มีความสำคัญว่าควรจะเดินแนวทางใด แต่ปรากฏว่า ก็รอการตัดสินใจ หรือการชี้นำจากอดีตนายกรัฐมนตรี รวมทั้งเรื่องพ.ร.บ.ปรองดองว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลัง ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของอดีตนายกรัฐมนตรีเกือบทั้งสิ้น
นายองอาจ กล่าวว่า 3.ไม่ได้ใส่ใจปัญหาคนรากหญ้า หรือคนจนเท่าที่ควร เพราะนายกรัฐมนตรีมักจะพูดเสมอว่า เป็นรัฐบาลที่มาจากรากหญ้าและคนจน แต่ตลอดปีที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีกลับไม่ใส่ใจปัญหานี้เท่าที่ควร ปล่อยให้สินค้าเกษตรทุกชนิดตกต่ำ เช่น ยางพารา ปาล์ม มะพร้าว ล้วนเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับคนจนทั้งสิ้น 4.ดื้อตาใส เห็นได้ชัดเจน คือ เรื่องนโยบายรับจำนำข้าวและระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เป็นนโยบายที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ มีการเปิดโปงเรื่องทุจริตทุกขั้นตอน และชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งมีการเรียกร้องให้ทบทวนและยกเลิกนโยบายนี้ แต่นายกรัฐมนตรีกลับดื้อตาใส เดินหน้าเรื่องนี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นายองอาจ กล่าวว่า และ 5.ให้ความสำคัญกับงานสภาน้อยมาก ซึ่งเห็นได้ชัดเจนเพราะนายกรัฐมนตรีแทบจะไม่เคยมาชี้แจงปัญหาของสภาเลย ไม่นับรวมถึงการไม่มาเข้าร่วมรับฟังญัตติ และไม่มาตอบกระทู้สด ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องของการตรวจสอบการทำงานของสภา อีกทั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรีก็กลับโยนให้รัฐมนตรีตอบมากกว่า จึงเท่ากับว่านายกรัฐฒนตรี ไม่ยอมแสดงให้เห็นถึงความรู้ความสามารถ ความเข้าใจปัญหาต่างๆ ของบ้านเมืองเลย
นายองอาจ แถลงต่อว่า สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่ รัฐบาลพยายามบอกว่าจะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นการสานเสวนาหรือการทำประชามติ แต่ตนคิดว่ารัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนว่า จะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเดินไปในทิศทางใด เพราะนายกรัฐมนตรีระบุว่า การลงประชามติและการสานเสวนา หรือการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตรา รวมไปถึงการโหวตร่างรัฐธรรมนูญ วาระ 3 จะให้เป็นการตัดสินใจของประชาชนผ่านการสานเสวนา
นายองอาจ กล่าวว่า ตนคิดว่ากระบวนการดังกล่าวที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ คงไม่สามารถหาข้อสรุปได้ เพราะขณะนี้ยังไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้ว่ากระบวนการสานเสวนาที่รัฐบาลกำลังดำเนินการจะสามารถหาความเห็นพ้องต้องกัน หรือหาฉันท์ทามติจากประชาชนได้ว่า ควรจะเดินไปในทิศทางใดตามที่รัฐบาลกำหนดขึ้นมา อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรอาศัยการสานสวนา เพื่อสร้างความชอบธรรมในการที่จะแนวทางใดแนวทางหนึ่งทั้ง 3 แนวทาง ไม่ว่าจะทำประชามติ การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา และการโหวตร่างรัฐธรรมนูญ วาระ 3
“การสานเสวนาจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าประชาชนทั้งประเทศไม่ยอมรับ เพราะฉะนั้นผมคิดว่ารัฐบาลมีธงชัดเจนอยู่แล้ว แต่พยายามใช้กระบวนการสานเสวนาหาทางออก ในเรื่องนี้ว่าจะใช้วิธีการใดอย่างไร ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะจับตาการสานเสวนาของรัฐบาล ว่าจะใช้ประโยชน์เพื่อหาทางออกของประเทศร่วมกัน หรือจะดำเนินการเพื่อประโยชน์ของรัฐบาล และเป้าหมายของรัฐบาลที่ตั้งธงเอาไว้ล่วงหน้าหรือไม่ พร้อมขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลว่าควรหาทางออกที่ถูกต้อง ชอบธรรม เหมาะสม และเป็นที่ยอมรับจากสังคม” นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวอีกว่า ในรอบปี 2555 เรามักได้ยินชื่อย่อทางการเมืองบ่อยครั้ง แต่ฮิตที่สุดก็คือ “เจ๊ ด.เด็ก” และมีแนวโน้มที่จะฮิตต่อเนื่องในปี 2556 โดยชื่อย่อนี้มีการพูดถึงในแวดวงการเมืองในแง่ลบมากที่สุด ซึ่งมักถูกพาดพิงว่าเกี่ยวข้องกับการหาผลประโยชน์ จากโครงการใหญ่ๆ ของรัฐบาล อาทิ การทุจริตการรับจำนำข้าว งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมรวมทั้งทุจริตโครงการเล็กๆ น้อยๆ จำนวนมาก และการเข้าไปมีส่วนร่วมในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการสำคัญในกระทรวงใหญ่เกือบทุกกระทรวง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น
นายองอาจ กล่าวว่า พฤติกรรมของ “เจ๊ ด.เด็ก” ในการอภิปรายไมไว้วางใจล่าสุด ชื่อก็ถูกหยิบยกขึ้นมาว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตหลายโครงการ และที่สำคัญ มักจะมีชื่อเข้าไปมีส่วนผลักดันเด็กในกลุ่มก๊วนของตัวเองเข้ามาเป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวง ดังนั้น ทำให้เห็นว่า เป็นผู้มีอิทธิพลของการเมืองไทย ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในแง่ลบเกี่ยวกับการใช้อำนาจโดยมิชอบและการทุจริตตลอดทั้งปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้สร้างเครือข่ายนอมินี ตีกันผลกระทบ ที่จะมีความผิดมาถึงตัวเองไว้ทุกด้านแล้ว ทำให้การแผ่อิทธิพลมีทุกด้านโดยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น