ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปชป.ยันพรรคไม่ขัดแก้ รธน. แต่ขอระบุให้ชัดแก้ประเด็นไหน ไม่เห็นด้วยเหมารวมทั้งฉบับ ชี้อาจซ้ำรอยปี 55 ลุยต่อไม่ได้ รับไม่ไว้ใจ รบ.อาจแก้กระทบสถาบันฯ-องค์กรอิสระ-ตุลาการ เชื่อดื้อแก้ ปชช.ไม่ยอม เกิดขัดแย้ง แนะควรเห็นพ้องต้องกัน เตือนนายกฯ แกล้งไม่รู้โบ้ยรัฐสภาไม่ได้ ยันต้องรับผิดชอบแก้ รธน.ทำสังคมแตกหัก
วันนี้ (9 ธ.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงกรณีที่รัฐบาลมีความพยายามเร่งรัดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยเห็นด้วยกับรัฐบาลที่พยายามใช้กลไกต่างๆ ยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคลใด หรือทำลายองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่ทางพรรคก็ไม่เคยปฏิเสธว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ควรต้องระบุให้ชัดเจนว่าจะแก้ไขในประเด็นใด อย่าเหมารวมยกเข่งทั้งหมดเหมือนกับที่รัฐบาลพยายามดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เพราะจะส่งผลให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สามารถเดินหน้าไปได้ เหมือนกับช่วงกลางปี 2555 ที่ผ่านมา อีกทั้งทางพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถไว้วางใจได้เลยว่าการที่รัฐบาลพยายามยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้นจะกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ รวมทั้งจะลดทอนอำนาจขององค์กรอิสระหรือไม่ หรือลดอำนาจการผดุงความยุติธรรมของตุลาการหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลมีการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะอำนาจตุลาการ
“สภาวการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ยังไม่เหมาะสมในการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะยังไม่มีความชัดเจนใดๆ แต่รัฐบาลก็พยายามที่จะเร่งผลักดัน มองว่าหากดำเนินการในสภาวะที่ประชาชนบางกลุ่มไม่เห็นด้วยก็อาจจะเกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคมได้ ดังนั้น รัฐบาลไม่ควรที่จะเร่งดำเนินการหักด้ามพร้าด้วยเข่า เอาแต่ใจตัวเอง จะเอาให้ได้วันนี้พรุ่งนี้ เพราะการเกิดรัฐธรรมนูญต้องมาจากความเห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่าย รัฐธรรมนูญไม่ควรจะเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความขัดแย้งเพราะหากเกิดขึ้นบนความไม่ชัดเจนประชาชนไม่เห็นด้วย ความขัดแย้งก็จะไม่จบสิ้น” นายองอาจกล่าว
นายองอาจกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของรัฐสภา ตนเห็นว่าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีมีความเกี่ยวข้องโดยตรงในฐานะผู้นำเสียงข้างมากของรัฐสภา ฉะนั้น นายกรัฐมนตรีจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่านก็ขึ้นอยู่กับเสียงข้างมากของรัฐสภา และถ้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าไปสู่ความขัดแย้งระลอกใหม่ นายกรัฐมนตรีควรรับผิดชอบ ต้องไม่ลอยตัวในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญเช่นนี้
