รองโฆษกทัพบกเผยจ่อสอบปืนทาโวร์ 10 กระบอกถูกทิ้งที่กาญจน์ของกองทัพหรือไม่ หลังหายไปช่วงสมรภูมิคอกวัว เมษาฯ 53 รับมีเลขตรงกับที่แจ้งความ พร้อมขยายผลตามหาคนยึด ยันไม่มีทหารนอนเจ็บจากเหตุยิงแก๊สใส่ม็อบเสธ.อ้าย ชี้เป็นตำรวจบอกยศผิด
วันนี้ (26 พ.ย.) พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่ชาวบ้านใน จ.กาญจนบุรี ได้พบอาวุธปืนทาโวร์ รุ่นทาร์ 21 จำนวน 10 กระบอกถูกทิ้งไว้ที่ริมถนนสายท่าเรือ-พระแท่น อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี เมื่อ 25 พ.ย.นี้ว่า ขณะนี้กองทัพบกมอบให้กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) และกรมสรรพาวุธทหารบก เข้าประสานกับสถานีตำรวจภูธรท่าเรือ และตำรวจภูธรภาค 7 เพื่อขอเข้าร่วมตรวจสอบและยืนยันว่าอาวุธปืนที่พบเป็นของกองทัพบกหรือไม่ เนื่องจากในปี 2553 กองทัพบกได้เคยแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน และสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ว่ายุทโธปกรณ์ เครื่องมือสื่อสาร และยานพาหนะที่กองทัพบกนำมาใช้ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือนเมษายน 2553 นั้นได้สูญหายไปจำนวนหนึ่งในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว โดยในจำนวนอาวุธที่สูญหายมีอาวุธปืนทาโวร์รวมอยู่ด้วย
“จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า อาวุธปืนทาโวร์ ทาร์ 21 จำนวน 10 กระบอกที่ยึดได้ในครั้งนี้ มีหมายเลขกำกับตรงกับอาวุธปืนที่กองทัพบกแจ้งหายไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน โดยการสูญหายดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือนเมษายน 2553 บริเวณสะพานพระปิ่นเกล้า โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมนำอาวุธปืนดังกล่าวไปพิสูจน์หลักฐานโดยละเอียดอีกครั้ง พร้อมส่งให้กับสถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน และกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อสืบสวนสอบสวน และดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป โดยกองทัพบกจะได้ประสานข้อมูลกับทางตำรวจอย่างใกล้ชิด และขอทราบแนวทางในการปฏิบัติเกี่ยวกับอาวุธปืนดังกล่าว รวมถึงการขยายผลติดตามหาตัวผู้ที่นำอาวุธปืนของทางราชการไปเก็บไว้ เพื่อนำไปสู่การติดตามอาวุธปืนที่ยังสูญหายต่อไป” รองโฆษก ทบ.กล่าว
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่มีรายงานข่าวว่า จากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง ณ ลานพระราชวังดุสิต เมื่อ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา มีผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 82 คน โดยเป็นทหาร 1 นายนั้น กองทัพบกได้ตรวจสอบข้อมูลกับโรงพยาบาลที่รับผู้บาดเจ็บไว้ทั้งหมดแล้ว ยืนยันว่าผู้บาดเจ็บที่ระบุว่าคือทหารนั้น ความจริงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยศร้อยตำรวจโท แต่มีการลงบันทึกยศว่าเป็นร้อยโท ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นทหาร
วันนี้ (26 พ.ย.) พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่ชาวบ้านใน จ.กาญจนบุรี ได้พบอาวุธปืนทาโวร์ รุ่นทาร์ 21 จำนวน 10 กระบอกถูกทิ้งไว้ที่ริมถนนสายท่าเรือ-พระแท่น อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี เมื่อ 25 พ.ย.นี้ว่า ขณะนี้กองทัพบกมอบให้กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) และกรมสรรพาวุธทหารบก เข้าประสานกับสถานีตำรวจภูธรท่าเรือ และตำรวจภูธรภาค 7 เพื่อขอเข้าร่วมตรวจสอบและยืนยันว่าอาวุธปืนที่พบเป็นของกองทัพบกหรือไม่ เนื่องจากในปี 2553 กองทัพบกได้เคยแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน และสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ว่ายุทโธปกรณ์ เครื่องมือสื่อสาร และยานพาหนะที่กองทัพบกนำมาใช้ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือนเมษายน 2553 นั้นได้สูญหายไปจำนวนหนึ่งในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว โดยในจำนวนอาวุธที่สูญหายมีอาวุธปืนทาโวร์รวมอยู่ด้วย
“จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า อาวุธปืนทาโวร์ ทาร์ 21 จำนวน 10 กระบอกที่ยึดได้ในครั้งนี้ มีหมายเลขกำกับตรงกับอาวุธปืนที่กองทัพบกแจ้งหายไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน โดยการสูญหายดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือนเมษายน 2553 บริเวณสะพานพระปิ่นเกล้า โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมนำอาวุธปืนดังกล่าวไปพิสูจน์หลักฐานโดยละเอียดอีกครั้ง พร้อมส่งให้กับสถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน และกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อสืบสวนสอบสวน และดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป โดยกองทัพบกจะได้ประสานข้อมูลกับทางตำรวจอย่างใกล้ชิด และขอทราบแนวทางในการปฏิบัติเกี่ยวกับอาวุธปืนดังกล่าว รวมถึงการขยายผลติดตามหาตัวผู้ที่นำอาวุธปืนของทางราชการไปเก็บไว้ เพื่อนำไปสู่การติดตามอาวุธปืนที่ยังสูญหายต่อไป” รองโฆษก ทบ.กล่าว
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่มีรายงานข่าวว่า จากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง ณ ลานพระราชวังดุสิต เมื่อ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา มีผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 82 คน โดยเป็นทหาร 1 นายนั้น กองทัพบกได้ตรวจสอบข้อมูลกับโรงพยาบาลที่รับผู้บาดเจ็บไว้ทั้งหมดแล้ว ยืนยันว่าผู้บาดเจ็บที่ระบุว่าคือทหารนั้น ความจริงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยศร้อยตำรวจโท แต่มีการลงบันทึกยศว่าเป็นร้อยโท ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นทหาร
