ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน มองการยุติการชุมนุมกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามเป็นเรื่องสปิริต แนะเคลื่อนไหวต่อแม้ “พล.อ.บุญเลิศ” วางมือ ชี้จุดเปลี่ยนม็อบ เสธ.อ้าย คือการยิงแก๊สน้ำตาใส่ “สมณโพธิรักษ์” เตือนยังไม่ใช่สงครามครั้งสุดท้าย กลับมาแน่หากรัฐบาลดัน พ.ร.บ.ปรองดอง-ลงมติแก้ รธน.วาระ 3
วันนี้ (25 พ.ย.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน (Green Politics) กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามที่ได้ยุติลงเมื่อวานนี้ (24 พ.ย.) ว่า การยุติการชุมนุมขององค์กรพิทักษ์สยาม หรือ อพส. แม้จะสร้างความคลางแคลงใจให้มวลชนอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นเรื่องสปิริตในการนำ ซึ่งถ้าเห็นว่าจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ความรุนแรงได้ หรือเกรงเรื่องความสูญเสียแล้วยุติชุมนุมไปก่อน มีถอยมีรุก เป็นเรื่องปกติของการต่อสู้เคลื่อนไหว ไม่ใช่พาคนไปตายเพียงเพื่อให้แกนนำได้ดิบได้ดีทางการเมือง
แต่เหตุที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประกาศวางมือ ลาออกจากประธาน อพส.และยุติการเคลื่อนไหว คงเพราะคาดหวังการต่อสู้ครั้งนี้ไว้สูงมากเกินไป ซึ่งก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเสธ.อ้าย ตนอยากแนะนำองค์กรพิทักษ์สยาม หรือ อพส. ควรทำงานเคลื่อนไหวต่อไป แม้เสธ.อ้าย จะยุติบทบาทก็ตาม แต่ปรับรูปแบบวิธีการ เพิ่มน้ำหนักการเคลื่อนไหวในทางวิชาการหรือข้อมูลประเด็นปัญหามากขึ้น เช่น เรื่องพลังงาน
“จุดเปลี่ยนสำคัญของการชุมนุมครั้งนี้ คือ ความรุนแรงที่รัฐบาลชุดนี้ออกแบบไว้ล่วงหน้า และพร้อมโจมตีผู้ชุมนุมทุกรูปแบบ ทั้งที่ผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ ไม่ได้ก่อความรุนแรงใดๆ โดยเฉพาะภาพที่ท่านสมณโพธิรักษ์โดนเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาใส่เต็มๆ นั้น เป็นภาพที่สะเทือนใจมาก และสะท้อนความอำมหิตเหี้ยมเกรียมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ชัดเจน ทั้งที่ญาติธรรมจากสันติอโศกและกองทัพธรรมยึดมั่นถือมั่นกับหลักอหิงสาทางการเมืองมาโดยตลอด” นายสุริยะใสกล่าว
ผู้ประสานงานกลุ่มกรีนกล่าวต่อว่า ความรุนแรงโดยรัฐครั้งนี้ทำให้การชุมนุมโดยสันติทำไม่ได้ และทำได้ยากมากขึ้นตามรัฐธรรมนูญ และเป็นการเชื้อเชิญท้าทายให้การชุมนุมมีความรุนแรงและเผชิญหน้าได้ง่ายขึ้นในอนาคต เพราะต่อไปผู้ชุมนุมก็ต้องเตรียมมาตรการมาป้องกันตนเองหรือกดดันรุกรบฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน ซึ่งปรากฏการณ์ เสธ.อ้ายครั้งนี้เป็นเพียงศึกหนึ่งของประชาชนที่ยืนหยัดต่อสู้กับระบอบทักษิณ ไม่ใช่สงครามครั้งสุดท้าย มันแค่จบตอนแต่ยังไม่ใช่ตอนจบ และอุณหภูมิทางการเมืองจะเข้มข้นขึ้นไปจนถึงการเปิดสภาสมัยหน้า ซึ่งรัฐบาลเตรียมดันร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง และลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ช่วงนั้นจะเป็นจุดเปลี่ยนการเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง