รายงานการเมือง
แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับคำร้องที่สมาชิกวุฒิสภา 67 คน ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรค 6 ว่าสัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ เป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรค 2 หรือไม่
โดยให้เหตุผลว่าในคำร้องของผู้ร้องไม่ได้ปรากฏหนังสือสัญญาที่กล่าวอ้างไว้ และศาลไม่สามารถใช้อำนาจเรียกเอกสารดังกล่าวได้ หากจะมีการเรียกเอกสารต้องเป็นกรณีที่รับคำร้องแล้วใช้อำนาจขอเรียกเอกสารเพิ่มเติมเท่านั้น
แต่ไม่ได้หมายความว่าช่องทางที่จะล้มโครงการจำนำข้าวที่กำลังจะนำไปสู่การจำนำประเทศนั้น กำลังเป็นอัมพฤกษ์จะลุกก็ไม่ไหว จะเดินก็ไม่ได้ ยักแย่ยักยัน ประจานความล้มเหลวของโครงการที่ก่อหนี้ให้ประเทศบานเบอะ
ถึงขั้นกระทรวงการคลังเสนอความเห็นรายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 ชำแหละบัญชีซุกหนี้จำนำข้าวของรัฐบาลที่ฝากไว้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จนประสบภาวะถังแตกทั้งรัฐบาลและ ธ.ก.ส.
หรือเรียกภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่า โครงการจำนำข้าว กำลังทำให้รัฐบาลไทยและ ธ.ก.ส.ชักหน้าไม่ถึงหลัง วิ่งหาเนื้อหนูมาปะเนื้อช้าง
ต้องสร้างหนี้ใหม่โดยที่กระทรวงการคลังค้ำประกันไม่ได้เสียด้วย เพราะกรอบเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการที่มีวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรตามนโยบายของรัฐบาล 150,000 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ธ.ก.ส.สำหรับโครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตรปีกาลผลิต 2551/52 และปีการผลิต 2554/55 รวม 113,798 ล้านบาท รวมเป็นเงินที่ต้องค้ำประกันให้ ธ.ก.ส.ทั้งสิ้นในปีงบประมาณ 2556 จำนวน 269,798 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 55 ของกรอบวงเงินค้ำประกัน (480,000 ล้านบาท)
เท่ากับว่ากระทรวงการคลังไร้ศักยภาพที่จะค้ำประกันเงินกู้ พร้อมกับแนะนำให้รัฐบาลรีบระบายผลผลิตทางการเกษตรในปี 2556 เพื่อจะได้ใช้วงเงินค้ำประกันเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ 113,798 ล้านบาท กระทรวงการคลังจะมีวงเงินค้ำประกันโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2555/56 เพิ่มขึ้น รวมทั้ง ธ.ก.ส.จะจัดหาเงินกู้โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันน้อยลง
พูดง่ายๆ ก็คือ รีบๆ ขายข้าวเอาเงินมาใช้หนี้ จะได้มีเงินหมุนเวียนทำโครงการต่อ แต่ถ้ายังขายไม่ออกรัฐต้องรับภาระต้นเงินและดอกเบี้ยถึง 787,823.32 ล้านบาท ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2555 มีผลขาดทุน 207,006.44 ล้านบาท และมีหนี้คงค้างทั้งสิ้น 455,538.80 ล้านบาท พาชาติลงเหวแน่นอน
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มติ ครม.วันที่ 6 พ.ย. 55 จะมีขบวนการย่องเบาของกระทรวงพาณิชย์ โดย บุญทรง เตยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ แอบงุบงิบเสนอให้ ครม.พิจารณาวาระจร การทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ระหว่างรัฐบาลไทย กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2556-2558 จากเดิมซื้อขายปีละ 3 แสนตัน จะเพิ่มขึ้นไม่เกินปีละ 5 ล้านตัน
จนคนปากกล้าขาสั่นอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่รักษาการแทนนายกรัฐมนตรีในการประชุม ครม. ถึงกับต้องออกปากว่า ทำไมเสนอเป็นวาระจรในวันที่นายกฯไม่อยู่
นักการเมืองเขี้ยวลากดินอย่างเฉลิมย่อมรู้ดีว่า งานนี้มีเสี่ยงและคนที่จะรับไปเต็มๆ ก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม ที่นั่งหัวโต๊ะนั่นเอง
สภาพการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์พยายามบอกกับสังคมว่ามีสัญญาจีทูจีกับหลายประเทศรวมทั้งจีนไปก่อนหน้านี้นั้นเป็นความเท็จ เพราะหากมีสัญญาดังว่าจริง คงไม่ต้องหอบสัญญาเป็นวาระจรเข้า ครม.เพื่อขออนุมัติทำสัญญาซื้อขายข้าวกับจีนอีก
ขณะเดียวกันสิ่งที่รัฐบาลมุ่งมั่นจะขายข้าวแบบจีทูจีกับจีนนั้นก็สอดรับกับ แนวคิดของ นักโทษชายทักษิณ ชินวัตรที่วิดีโอลิงค์มายังเวทีเสื้อแดงที่โบนันซ่า เขาใหญ่ ว่า
“ประเทศจีนนี้น่ารักมาก เห็นใจเรามากตอนน้ำท่วม แล้วก็พร้อมที่เสนอว่า จะเข้ามาจัดการช่วยเรา แล้วก็เตรียมเงินไว้ให้เราใช้ก่อน แล้วก็ผ่อนเป็นเงินผ่อนเป็นสินค้าเกษตรได้นะครับ เข้าใจว่าวงเงินน่าจะเตรียมไว้ประมาณสี่สิบพันล้านเหรียญสหรัฐ ก็ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาทครับ ปลายปีนี้ท่านจะเห็นรถไฟความเร็วสูง จะเริ่มลงมือก่อสร้าง จากเชียงใหม่-กรุงเทพฯ กรุงเทพ-เชียงใหม่ วิ่งไม่เกิน 3 ชั่วโมง แล้วแน่นอนครับ จะตามด้วยกรุงเทพ-โคราช การมีรถไฟความเร็วสูง เราจะยกระดับการพัฒนาประเทศเราขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง เพราะในเอเชียประเทศที่มีรถไฟความเร็วสูงมีแค่ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ไต้หวันเท่านั้นนะครับ
เพราะฉะนั้นถ้าไทยมีรถไฟความเร็วสูงมันเท่ขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งนะ ทีนี้การเดินทางจะเปลี่ยนไป ผมเคยลองนั่งกันมา เขาวิ่งช้าๆ นะครับ วิ่งได้ 310 กิโลเมตรต่อชั่วโมงครับ นี่วิ่งช้าๆ ถ้าวิ่งเร็วๆ วิ่ง 480 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนะครับ เพราะฉะนั้นรถไฟความเร็วสูงจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ปลายปีนี้เขาจะลงมือแล้วนะครับ นี่ก็อีกไม่นานจะออกแบบมาโชว์แล้วนะครับ ก็รวดเร็วมาก เป็นการทำงานระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล คือจีทูจี”
ย่อมหมายถึงว่า มีการล็อกสเปกกันเรียบร้อยรวมถึงโครงการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบจากเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท ที่ส่งกลิ่นฉาวว่าล็อกเอาไว้ให้ประเทศจีนเช่นกัน และนี่อาจเป็นไพ่ไม้ตายของรัฐบาลที่ทำให้มั่นใจนักหนาว่าจะสามารถระบายข้าวที่ล้นโกดังได้หมด จากการเอาข้าวไปแลกเมกะโปรเจกต์โครงการน้ำและรถไฟความเร็วสูงในราคาขายข้าวขาดทุนยับเยิน แถมยังตรวจสอบเรื่องการทุจริตยากอีกด้วย
เรียกว่าได้สองเด้ง ได้อ้างว่าทำเพื่อชาวนา แถมยังได้เงินทอนจากจีทูจีด้วย
นโยบายจำนำข้าวซึ่งนักโทษชายทักษิณ ประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า เป็นผู้คิดเองคนเดียวทั้งหมดด้วยหลงตนว่าเก่งกาจมองตลาดข้าวขาดกว่าคนอื่นนั้น กำลังกลายเป็นหอกแหลมทิ่มแทงรัฐบาลชุดนี้ ถึงขั้นเปลี่ยนจากจุดแข็งมาเป็นจุดตายได้ในศึกซักฟอกที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 25-28 พ.ย.นี้
แม้เปลี่ยนรัฐบาลไม่ได้แต่สั่นคลอนศรัทธาจนทำให้เสถียรภาพแม่ปูเดินขาเกอย่างแน่นอน