รายงานพิเศษ
แน่นอนว่ากำหนดการตั้งแต่วันที่ 8-10 พฤศจิกายนที่จะถึง ย่อมเป็นตารางเวลาที่น่าจับตามองของหลายคนอีกครั้ง หลังจาก ทักษิณ ชินวัตร จะมาเลาะตะเข็บชายแดนไทย แต่คราวนี้แว่วมาว่า “เข้ามาใกล้” ดินแดนไทยมากกว่าครั้งไหนๆ
อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาดังกล่าวถือว่าน่าสนใจจริงๆ หากพิจารณาจากองค์ประกอบหลายอย่างที่มาประจวบเหมาะกันพอดี เริ่มจากเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา รัฐสภาพม่าเพิ่งลงมติรับรองร่างแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการลงทุนของต่างชาติ โดยเฉพาะการเปิดทางให้บริษัทต่างชาติร่วมลงทุนได้ร้อยละ 50 ตามข้อเสนอของประธานาธิบดีเต็ง เส่ง
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวเกี่ยวกับท่าเรือน้ำลึก และเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ที่มีมูลค่าการลงทุนนับแสนล้านบาทก็ยังดำเนินไปอย่างคึกคักทั้งเฟส 1-2-3 รวมไปถึงธุรกิจพลังงาน ที่ก่อนหน้านี้มีการเจรจากันมาแล้วหลายรอบ
แม้ว่าการเดินทางเข้าพม่าของ ทักษิณ ชินวัตร เที่ยวนี้ไม่มีรายละเอียดเหมือนเช่นเคย แต่จากการเปิดเผยของนพดล ปัทมะ ลูกน้องคนสนิทเปิดเผยว่า กำหนดการวันที่ 8-10 พฤศจิกายน ทำให้มีการคาดเดาได้ไม่ยาก เริ่มจากวันที่ 8 พฤศจิกายนมีกำหนดการพบประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ของพม่าที่กรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงใหม่ จากนั้นวันที่ 9 พฤศจิกายน จะมีกำหนดพบปะกับ ส.ส.และนักธุรกิจของพม่า ซึ่งรับรองว่าต้องมีผลประโยชน์ที่คุ้มค่า ไม่เช่นนั้นคงไม่ถึงกับนั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว เสียค่าน้ำมันเพื่อมาจิบกาแฟ ดื่มไวน์แบบชิลๆ ธรรมดาแน่นอน ในทางตรงข้ามสำหรับเขาที่ทุกนาทีต้องเป็นธุรกิจที่คุ้มค่ามีแต่เรื่องกำไร-ขาดทุน
ประกอบกับเมื่อพิจารณาจากรายงานข่าวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทุกอย่างล้วนสอดคล้องไปในทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวคนใกล้ชิดทักษิณ ดอดเข้าพม่าเพื่อเจรจาเกี่ยวกับธุรกิจท่าเรือน้ำลึกดังกล่าว รวมไปถึงการเปิดเผยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ บุญทรง เตริยาภิรมย์ ที่เพิ่งเปิดเผยถึงแนวทางการทำธุรกิจระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะการกล่าวย้ำถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงท่าเรือ เขตเศรษฐกิจพิเศษระหว่างสองประเทศ
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงธุรกิจพลังงาน ที่ก่อนหน้าที่ได้มีการเจรจานำร่องไปแล้วเมื่อครั้งที่ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปเยือนพม่า เมื่อหลายเดือนก่อน คราวนั้นก็มีการวิจารณ์กันถึงเรื่องการลงทุนทั้งในรูปแบบ “นายหน้าข้ามชาติ” หรือแม้แต่การลงทุนแฝงที่ถูกจับตามาตลอดกับเครือข่ายของ ปตท.
ดังนั้น ถ้าให้สรุปนาทีนี้ก็ต้องบอกว่า การเดินทางเข้าพม่าของทักษิณ ชินวัตร ถือว่าถูกจังหวะเวลา โดยเฉพาะภารกิจหลักคือการเจรจาธุรกิจระดับ “มหายักษ์” ทั้งสิ้น โดยเกิดขึ้นในช่วงที่รัฐสภาพม่า ผ่านร่างแก้กฎหมายการลงทุนของต่างชาติที่เปิดทางให้เพิ่มสัดส่วนลงทุนเป็นร้อยละ 50 ซึ่งในฐานะ “นายหน้า” ถือว่ามีแต่กำไร ประกอบกับการให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับสื่อต่างประเทศ ที่เปิดเผยตัวตนคุยฟุ้งว่าตัวเองเป็น “เจ้าของ” รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยิ่งมีน้ำหนัก และหากจะให้สำเร็จก็ต้องติดต่อผ่านเขาเท่านั้น
ส่วนความเคลื่อนไหวถัดมาที่ตามกำหนดการจะมาพบกับบรรดา ส.ส.รัฐมนตรี รวมถึงคนเสื้อแดงที่จะยกขบวนกับไปพบเขาในช่วงเย็นวันที่ 9-10 พฤศจิกายน ที่ชายแดนไทยพม่า ฝั่งท่าขี้เหล็ก ตรงข้ามกับอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย แน่นอนว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวหวังผลทางการเมือง ทางหนึ่งก็คือการเยาะเย้ยเหยียบย่ำกฎหมายไทยให้ยับเยิน ในฐานะที่เป็นนักโทษหนีคุก แต่การมาเหยียบมาเกาะรั้วอยู่ใกล้ๆ ที่สำคัญมีกำหนดการเปิดเผยให้รู้ล่วงหน้า แต่ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปจับกุม
ประการถัดมา การเดินทางมาคราวนี้ยังแสดงให้เห็น เป็นการโชว์เพาเวอร์ให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็นว่า เขายังมีบารมีมากล้นเพียงใด นึกจะมาจะไป จะพบกับรัฐมนตรี ตำรวจคนไหนก็ทำได้ตลอดเวลา ขณะที่การพบกับคนเสื้อแดงนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ใช่เป็นการเคลียร์ทำความเข้าใจเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรี แต่นี่คือการพบปะกับพวก “ลูกสมุน-คนรับใช้” เท่านั้น เพราะหากจะบอกว่านี่คือการพบปะ “ข้าทาส” บางทีก็อาจใช้คำที่แรงเกินไป ทั้งที่ความหมายมันไม่น่าผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในมุมการเมืองอีกด้านหนึ่งก็เป็นการเข้ามาสั่งการ บัญชาการในช่วงเวลาสำคัญในวาระที่ฝ่ายค้านกำลังจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปลายเดือน ซึ่งเป้าหมายหลักจะต้องพุ่งมาที่ “น้องสาว” ของตัวเองในฐานะนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่เพิ่งเคยโม้กับสื่อเทศเอาไว้ว่าเป็นผลงานเค้นจากมันสมองของเขาในลักษณะ “ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ” ดังนั้นถ้าฝ่ายค้านมีข้อมูลเจ๋งๆ ซัดเข้าเป้ามันก็เป๋เหมือนกัน หากพิจารณาจากมันสมองของยิ่งลักษณ์ ที่แสดงออกผ่านสื่อในช่วงที่ผ่านมา
ในช่วงเวลาเดียวกันจะมีม็อบที่เรียกว่า “รวมพลคนทนไม่ไหว” ที่นำโดย “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธ์ ซึ่งที่ผ่านมามีการเปิดหัวเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจ มีคนเข้าร่วมพอใช้ได้ และคนที่ขึ้นเวทีรอบข้างก็ไม่ธรรมดา ถือว่า “จุดติด” จนน่ากังวล
นี่ก็ทำให้ทักษิณ ต้องก้นร้อนมาบัญชาการเกมเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะทั้งสองเรื่องหลังจะประมาทไม่ได้ เพราะคราวก่อนขนาดตัวเองมีอำนาจอย่างเป็นทางการเต็มมือยังพลาด แต่นี่ทุกอย่างต้องสั่งผ่านตัวแทน แม้จะมีบารมีสูง แต่ของแบบนี้ไว้ใจไม่ได้เป็นอันขาด!!