รองนายกฯ โยนนายกฯ ปรับ ครม. ไม่เสียกำลังใจหากโดนเด้ง แนะสื่อดูความสำคัญม็อบเสธ.อ้าย ยันเหตุผลไม่เพียงพอชุมนุม เชื่อไม่รุนแรง ไม่น่าวิตก ย้ำใช้การเมืองนำการทหารดับไฟใต้ พร้อมส่งตำรวจ 5 พันนายลงให้ครบ 6 เดือน เฝ้าระวังวันรายอฮัจยี นัดประชุมการข่าวพรุ่งนี้
วันนี้ (25 ต.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 09.45 น. พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า อยู่ที่นายกรัฐมนตรี ตนเพิ่งเดินทางกลับมาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อคืนวันที่ 24 ต.ค. ยังไม่ได้สอบถามอะไร ส่วนข่าวว่าตนมีชื่อหลุดจากตำแหน่งรองนายกฯ นั้น ทุกอย่างอยู่ที่นายกฯ ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯ ตัดสินใจอย่างไรก็ยอมรับได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า ใช่ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยอมรับได้เพราะทุกอย่างอยู่ที่นายกฯ และไม่ได้เสียกำลังใจ ส่วนรายชื่อบุคคลต่างๆ ที่มีออกมานั้นตนไม่ทราบ เพราะยังไม่เห็น ตื่นเช้ามาก็เตรียมการประชุม
เมื่อถามว่า ช่วงระยะเวลานี้เหมาะกับการปรับ ครม.หรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า ไม่ทราบเพราะไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ เมื่อถามว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะไม่มีส่งผลต่อการทำงานทางด้านความมั่นคงใช่หรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า คงไม่มี เวลานี้อย่าเพิ่งสมมติอะไร ถ้าสมมติตนแย่ ให้นายกฯ ดำเนินการเสียก่อน เราเป็นผู้ใหญ่ต้องมีมารยาทไม่ถาม
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามในวันที่ 28 ต.ค.ว่า สื่อมวลชนจะต้องดูว่าจะให้คุณค่าสักเท่าไหร่ในการทำงานครั้งนี้ ถ้าให้ความสำคัญมากก็มีความหมายมาก ถ้าให้ความสำคัญน้อยก็ลดลงไป แต่เราติดตามอยู่แล้ว และก็ทราบว่ามวลชนหลายกลุ่มไม่ได้เข้าไปร่วมด้วย โดยเฉพาะกลุ่มมวลชนใหญ่ๆ ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มองค์การพิทักษ์สยามมีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า ทั้ง 3 เรื่องที่เขาประกาศ ทั้งๆ ที่จริงแล้วเหตุผลก็ยังไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอะไร ส่วนการออกมาดังกล่าวจะส่งผลกระทบให้ราคาในตลาดหุ้นตกหรือไม่นั้น ตนคิดว่าเรื่องอย่างนี้อ่อนไหวมาก การเสนอข่าวก็ต้องระวังด้วยในเรื่องนี้ แต่มองภาพหน่วยความมั่นคงแล้วยังไม่มีอะไรที่น่าวิตก
พล.อ.ยุทธศักดิ์ยังกล่าวถึงสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ภายหลังการลงพื้นที่วานนี้ (24 ต.ค.) ว่า ได้มีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้ (ศอ.บต.) แม่ทัพภาคที่ 4 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยนายภาณุ อุทัยรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้สรุปสถานการณ์และเสนอมาตรการดำเนินงาน ซึ่งตนยืนยันว่ารัฐบาลจะดำเนินการในรูปแบบการเมืองนำการทหารและใช้การพัฒนานำการทหาร รวมถึงการผลัดเปลี่ยนกำลัง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องพร้อมในการปฏิบัติงานได้ เนื่องจากในพื้นที่ยังขาดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 5,000 นาย โดยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกส่งลงพื้นที่ให้ครบภายใน 6 เดือน ส่วนเรื่องการปิดล้อมตรวจค้นกดดันก็จะทำอย่างเต็มที่ อย่างเมื่อวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมาได้ตัวแกนนำ และมาตรการตรงนี้ทำให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบปฏิบัติงานได้ยาก ซึ่ง 5 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 25 ต.ค.ปีนี้มีการระเบิด 30 กว่าจุดในเวลาพร้อมๆ กัน เราก็ต้องระมัดระวังไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก และก็ต้องไปดูวันที่ 26 ต.ค.ที่เป็นวันรายอฮัจยี และจะมีการทำพิธีกันที่นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอาจจะไปเปลี่ยนแปลงเจตนา ทั้งนี้นายกฯ ได้แต่งตั้งให้ตนเป็นประธานประสานงานสมาคมข่าวแห่งชาติขึ้นมา โดยจะมีการประชุมกันวันที่ 26 ต.ค.ที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติ เพื่อจะได้พบผู้เกี่ยวข้องทางด้านการข่าวทั่วประเทศเพื่อบูรณาการด้านการข่าวให้ดีขึ้น ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ยังจะมีการมอบหมายงานทางด้านการข่าวและงานการข่าวทางด้านต่างประเทศด้วย