ผ่าประเด็นร้อน
ไม่น่าเชื่อว่าคนในรัฐบาลจะหันกลับมาใช้มุกเก่าๆแบบน้ำเน่า มาบิดเบือนความจริง หรือทำราวกับว่าชาวบ้านส่วนใหญ่เขาจะคล้อยตามกับคำพูดของคนพวกนี้ทุกเรื่องแบบหลับหูหลับตา หรืออาจเป็นเพราะที่ผ่านมาปลุกระดมอะไรออกมาก็มักจะมีคนเฮตาม แต่นั่นอาจเป็นเพราะเคยแต่พ่นน้ำลายอยู่ข้างนอกอย่างเดียว มาวันนี้เมื่อกลายมาเป็นผู้ปฏิบัติ เป็นรัฐบาลได้โชว์ฝีมือเอง มันก็เลี่ยงไม่ได้เพราะผลงานมันฟ้อง ว่าของจริงเป็นอย่างไร
เหมือนกับเวลานี้ที่รัฐบาลกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างกำลังย้อนกลับเข้ามาหาตัวแทบทุกเรื่อง กลายเป็นว่าเคยกล่าวหาคนอื่นว่า “ดีแต่โม้” หรือ “ดีแต่พูด” มาวันนี้ทุกเรื่องมันไม่ได้ต่างกัน มิหนำซ้ำทำท่าจะห่วยแตกยิ่งกว่า เพราะตัวเองมีปัจจัยพร้อมทุกอย่าง ทั้งในและนอกสภา มีกลไกอำนาจรัฐ มีข้าราชการที่ไม่ต่างจาก “เด็กในบ้าน” คอยรับใช้กันอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมีมวลชนคนเสื้อแดงที่คอยปกป้องคุกคามฝ่ายตรงข้ามกันอย่างเต็มที่ แต่กลายเป็นว่าระยะหลังทำไมเรตติ้งของรัฐบาลโดยรวมแล้วถึงได้ตกรูดลงเรื่อยๆ
หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเริ่มเห็นอาการของคนในรัฐบาลที่ผิดปกติ โดยเฉพาะการออกมาโบ้ย “โยนขี้” บิดเบือนยกให้ฝ่ายตรงข้าม เริ่มจาก รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่พยายามเน้นให้เห็นว่ามี “ขบวนการจ้องล้มรัฐบาล” โดยหยิบยกเอาเรื่องสำคัญที่กำลังเป็นที่วิจารณ์ตำหนิติเตียนจากสังคมรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น โครงการรับจำนำข้าว เรื่องชายชุดดำ หรือแม้แต่กรณีการไซฟ่อนเงินที่ฮ่องกง และล่าสุดยังมีการกล่าวหามวลชนที่นำโดย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เตรียมชุมนุมในวันที่ 28 ตุลาคม เพื่อกดดันให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จัดการกับพวกจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ แก้ปัญหาเรื่องทุจริต เป็นต้น ซึ่งหลายเรื่องดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่คนทั่วไปได้เห็นสอดคล้องคล้อยตาม เห็นเป็นเรื่องผิดปกติแบบ “ปากว่าตาขยิบ” แต่ก็ถูกคนในรัฐบาลอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม ออกมาตัดบทหน้าตาเฉยว่าเป็นพวกจ้องล้มรัฐบาลไปเสียฉิบ
ล่าสุดก็มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ออกมาสมทบกล่าวหาในทำนองเดียวกัน
แน่นอนว่านี่เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา เป็นการจงใจแสดงออกมาให้เห็นในอีกมุมหนึ่งเป็นการ “ย้อนศร” โยนกลับไปให้ฝ่ายตรงข้าม ตั้งใจดิสเครดิตลดแรงกดดันที่พุ่งเข้ามาหาบางทีก็มั่นใจว่าใช้ “ลูกมั่ว” พูดซ้ำๆ เคยใช้ได้ผลมานาน คงมั่นใจว่าคราวนี้ก็น่าจะไม่พลาดอีก
อย่างไรก็ดี ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการสัมผัสจากสถานการณ์จริง ประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ซึ่งชาวบ้านทั่วไปย่อมรับรู้ได้ด้วยตัวเอง ทุกข์หรือสุขย่อมรู้ดี รับรู้กันดี นอกเสียจากไม่พูดความจริงเท่านั้น
เหมือนกับคำถามที่ว่าเวลานี้มีความสุขกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายใต้การกำกับในแบบ ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ” แค่ไหน แน่นอนว่าความรู้สึกและคำตอบอาจแตกต่างกันไป แต่รับรองว่าบรรยากาศจะไม่คึกคักอื้ออึงเหมือนเดิมแน่นอน ไม่เว้นแม้แต่พวกมวลชนคนเสื้อแดงด้วยกันเอง โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับปัญหาข้าวของแพง ค่าครองชีพที่พุ่งสูงลิ่ว ซึ่งเรื่องดังกล่าวพิสูจน์จากผลสำรวจที่ผ่านมาออกมามีเสียงบ่นคล้ายกัน และเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความห่วยแตก “ดีแต่โม้” ดีแต่ปลุกระดมบิดเบือนความจริง ของรัฐบาล การหยิบยกเรื่อง จำนำข้าว ชายชุดดำ และเรื่องไซฟ่อนเงินมาโยนใส่ฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นแผนจ้องล้มรัฐบาล นั้นทำราวกับว่าการรับจำนำข้าวไม่มีเรื่องอื้อฉาว ไม่มีการจับกุมเรื่องทุจริต ทำให้การส่งออกข้าวได้ผลดี และที่สำคัญข้อกล่าวหาที่ว่าชาวนาที่เข้าร่วมโครงการได้รับเงินทันทีโดยไม่ต้องรอนานถึง 3-4 เดือนอย่างเช่นทุกวันนี้ หรือกรณีของ “ชายชุดดำ” ไม่เคยมีหลักฐานให้เห็นว่ามีคนถืออาวุธปะปนอยู่ในม็อบเสื้อแดง เพราะที่ผ่านมามีแต่พวก “แกนนำ” ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยืนยันไม่เคยเห็น เพราะชาวบ้านเขาเห็นกันทั้งบ้านทั้งเมือง อีกทั้งเมื่อฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะประชาธิปัตย์ เริ่มเดินสายขย่มเปิด “แผลเก่า” ก็ยิ่งส่งผลกระทบเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ประกอบกับผลงานที่ห่วยแตก ไม่มีอะไรที่น่าประทับใจมันก็ยิ่งทำให้น่าหวั่นไหว นั่งไม่ติด จนต้องออกมาเคลื่อนไหวตอบโต้ และคงมั่นใจว่าวิธีการเก่าๆที่เคยใช้ได้ผลนั่นคือ ต้องโยนกลับไปหาฝ่ายตรงข้าม พยายามบิดเบือนให้ชี้ให้เห็นไปอีกทางว่ามี “พวกป่วน” ทำลายล้างอยู่เรื่อย
ความเคลื่อนไหวตอบโต้ออกมาจากฝ่ายรัฐบาลดังกล่าวหากมองอีกมุมหนึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเริ่มมีแรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้นเรื่อยๆ มีแต่ภาพติดลบ ยังไม่มีภาพบวก พิสูจน์ให้เห็นจากผลสะท้อนจากผลสำรวจต่างๆก็ออกมาสอดคล้องกันเรื่อยๆ ทั้งในเรื่องผลงานและการทุจริตที่เสียงตำหนิดังหนาหู ซึ่งกรณีแบบนี้แหละที่จะล้มรัฐบาลลงได้ในเร็ววัน ในทางตรงกันข้าม หากรัฐบาลตั้งใจทำงานเพื่อชาวบ้านส่วนใหญ่ ไม่ทำเพื่อพวกพ้อง ไม่ทุจริต ถ้าทำได้ นี่แหละคือผนังกำแพงเหล็กที่ป้องกันรัฐบาลให้อยู่ยาว แต่เท่าที่เห็นมันมีแต่เรื่องน่ารำคาญ น่ารังเกียจ ความจริงที่เคยปิดบังเอาไว้ถูกเปิดเผยออกมาให้เห็นรายวัน ก็ยิ่งทำให้ต้องหวั่นไหว
เพราะนับวันยังมองไม่เห็นว่าด้วยตัวบุคคล และศักยภาพของแต่ละคนในรัฐบาลตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถวเท่าที่เห็น ยังมองไม่เห็นอนาคต รอวันถดถอยเท่านั้น!!