สวนดุสิตโพลเผย ชาวกรุง 38.21% พอรู้จักหน้าที่ศาลฎีกา 34.55% ให้ความสำคัญมาก 54.47% พอให้ความสำคัญกระแสสังคม 42.04% เชื่อทิศทางสังคมมีผลต่อคำพิพากษา 46.34%ค่อนข้างเชื่อถือคำตัดสิน
วันนี้ (13 ต.ค.) สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ถึงทัศนะของสังคมต่อผลคำพิพากษาศาลฎีกา จำนวน 1,235 คน โดยถามความรู้ความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับศาลฎีกา พบว่า 38.21% พอรู้และเข้าใจอยู่บ้างเพราะระยะหลังมีข่าวเกี่ยวกับศาลฎีกาบ่อยขึ้น รับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของศาลฎีกาจากสื่อต่างๆ ฯลฯ 36.99% ไม่ค่อยมีความรู้และเข้าใจเพราะเป็นเรื่องไกลตัว พอได้ยินหรือรับฟังมาบ้างแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ได้เรียนด้านกฎหมายมา ฯลฯ 13.42% ไม่รู้และไม่เข้าใจเลยเพราะเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก ไม่มีเวลาที่จะศึกษาหรือติดตาม ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ฯลฯ และ 11.38% รู้และเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะเป็นเรื่องที่สนใจ เคยศึกษาและอ่านหนังสือกฎหมายมาพอสมควร เกี่ยวข้องกับการทำงาน ฯลฯ
เมื่อถามถึงการให้ความสำคัญต่อศาลฎีกาของประชาชน 34.55% ให้ความสำคัญมาก เพราะศาลฎีกาเป็นศาลยุติธรรมชั้นสูงสุด มีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีโดยตรง บทบาทหน้าที่ของศาลจึงต้องชัดเจน ยุติธรรม ฯลฯ 34.15% พอให้ความสำคัญอยู่บ้าง เพราะ ระยะหลังมีข่าวเกี่ยวกับการพิจารณาตัดสินคดีของศาลฎีกาบ่อยขึ้น โดยเฉพาะคดีทางการเมืองที่มีผลต่อสังคมไทย ฯลฯ 24.80% ไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องเฉพาะกับคนบางกลุ่ม คดีส่วนใหญ่ที่มาถึงชั้นศาลฎีกาคงจะเป็นคดีสำคัญๆ ฯลฯ และ 6.50% ไม่ให้ความสำคัญ เพราะไม่เข้าใจเนื้อหารายละเอียด และคิดว่าไม่น่าจะมีผลต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ฯลฯ
เมื่อถามถึงการให้ความสำคัญต่อทัศนะหรือความเห็นของสังคมของประชาชน 54.47% พอให้ความสำคัญอยู่บ้าง เพราะคนในสังคมต่างมีความคิดเห็นแตกต่างกันไป จะเลือกรับฟังหรือฟังจากผู้ที่มีความรู้จริง เป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือ ฯลฯ 29.67% ให้ความสำคัญมาก เพราะจะได้รู้ถึงความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ว่าเป็นไปในทิศทางใด เป็นข้อมูลไว้สำหรับประกอบการตัดสินใจ ฯลฯ 14.63% ไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญ เพราะสังคมในปัจจุบันแบ่งเป็นกลุ่มเป็นพวก มีความคิดเห็นแบ่งข้างแบ่งฝ่าย การฟังความข้างเดียวไม่เปิดกว้าง ฯลฯ และ 1.23% ไม่ให้ความสำคัญ เพราะเชื่อมั่นในความคิดเห็นของตนเองมากกว่า มากคนยิ่งมากความ ฯลฯ
เมื่อถามความคิดเห็นต่อทัศนะหรือความเห็นของสังคมว่ามีผลต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาหรือไม่ อย่างไร 42.04% ค่อนข้างมีผล เพราะความคิดเห็นหรือเสียงสะท้อนจากสังคมมาจากประชาชนส่วนใหญ่ จึงควรรับฟังไว้เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ฯลฯ 24.49% ไม่ค่อยมีผล เพราะการพิจารณาตัดสินของศาลจะดูจากพยานหลักฐาน พยานวัตถุ และพยานบุคคลในการพิจารณามากกว่า ฯลฯ 20.41% มีผลอยู่มาก เพราะกระแสสังคมหรือเสียงสะท้อนของคนส่วนใหญ่สามารถกดดันหรือส่งผลต่อการพิจารณาของศาลได้ ฯลฯ และ 13.06% ไม่มีผล เพราะคำพิพากษาตัดสินต่างๆ จะต้องว่าไปตามตัวบทกฎหมายที่ระบุไว้อย่างชัดเจน ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้เอง ฯลฯ
เมื่อถามว่า ประชาชนมีความเชื่อถือ เชื่อมั่นต่อคำพิพากษาของศาลฎีกามากน้อยเพียงใด 46.34% ค่อนข้างเชื่อถือ เชื่อมั่น เพราะเป็นคำพิพากษาที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วหลายขั้น ยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทย ฯลฯ 27.64% เชื่อถือ เชื่อมั่นมาก เพราะองค์คณะหรือผู้พิพากษามีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย มีการตัดสินที่เป็นธรรม เป็นที่พึ่งของประชาชนได้ ฯลฯ 23.58% ไม่ค่อยเชื่อถือ เชื่อมั่น เพราะมีหลายคดีที่เห็นว่าผลการตัดสินไม่มีความยุติธรรม มีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ฯลฯ และ 2.44% ไม่เชื่อถือ เชื่อมั่น เพราะมีการแทรกแซงจากผู้มีอิทธิพลและนักการเมือง ถูกกดดันจากสังคม ฯลฯ
วันนี้ (13 ต.ค.) สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ถึงทัศนะของสังคมต่อผลคำพิพากษาศาลฎีกา จำนวน 1,235 คน โดยถามความรู้ความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับศาลฎีกา พบว่า 38.21% พอรู้และเข้าใจอยู่บ้างเพราะระยะหลังมีข่าวเกี่ยวกับศาลฎีกาบ่อยขึ้น รับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของศาลฎีกาจากสื่อต่างๆ ฯลฯ 36.99% ไม่ค่อยมีความรู้และเข้าใจเพราะเป็นเรื่องไกลตัว พอได้ยินหรือรับฟังมาบ้างแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ได้เรียนด้านกฎหมายมา ฯลฯ 13.42% ไม่รู้และไม่เข้าใจเลยเพราะเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก ไม่มีเวลาที่จะศึกษาหรือติดตาม ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ฯลฯ และ 11.38% รู้และเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะเป็นเรื่องที่สนใจ เคยศึกษาและอ่านหนังสือกฎหมายมาพอสมควร เกี่ยวข้องกับการทำงาน ฯลฯ
เมื่อถามถึงการให้ความสำคัญต่อศาลฎีกาของประชาชน 34.55% ให้ความสำคัญมาก เพราะศาลฎีกาเป็นศาลยุติธรรมชั้นสูงสุด มีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีโดยตรง บทบาทหน้าที่ของศาลจึงต้องชัดเจน ยุติธรรม ฯลฯ 34.15% พอให้ความสำคัญอยู่บ้าง เพราะ ระยะหลังมีข่าวเกี่ยวกับการพิจารณาตัดสินคดีของศาลฎีกาบ่อยขึ้น โดยเฉพาะคดีทางการเมืองที่มีผลต่อสังคมไทย ฯลฯ 24.80% ไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องเฉพาะกับคนบางกลุ่ม คดีส่วนใหญ่ที่มาถึงชั้นศาลฎีกาคงจะเป็นคดีสำคัญๆ ฯลฯ และ 6.50% ไม่ให้ความสำคัญ เพราะไม่เข้าใจเนื้อหารายละเอียด และคิดว่าไม่น่าจะมีผลต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ฯลฯ
เมื่อถามถึงการให้ความสำคัญต่อทัศนะหรือความเห็นของสังคมของประชาชน 54.47% พอให้ความสำคัญอยู่บ้าง เพราะคนในสังคมต่างมีความคิดเห็นแตกต่างกันไป จะเลือกรับฟังหรือฟังจากผู้ที่มีความรู้จริง เป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือ ฯลฯ 29.67% ให้ความสำคัญมาก เพราะจะได้รู้ถึงความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ว่าเป็นไปในทิศทางใด เป็นข้อมูลไว้สำหรับประกอบการตัดสินใจ ฯลฯ 14.63% ไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญ เพราะสังคมในปัจจุบันแบ่งเป็นกลุ่มเป็นพวก มีความคิดเห็นแบ่งข้างแบ่งฝ่าย การฟังความข้างเดียวไม่เปิดกว้าง ฯลฯ และ 1.23% ไม่ให้ความสำคัญ เพราะเชื่อมั่นในความคิดเห็นของตนเองมากกว่า มากคนยิ่งมากความ ฯลฯ
เมื่อถามความคิดเห็นต่อทัศนะหรือความเห็นของสังคมว่ามีผลต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาหรือไม่ อย่างไร 42.04% ค่อนข้างมีผล เพราะความคิดเห็นหรือเสียงสะท้อนจากสังคมมาจากประชาชนส่วนใหญ่ จึงควรรับฟังไว้เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ฯลฯ 24.49% ไม่ค่อยมีผล เพราะการพิจารณาตัดสินของศาลจะดูจากพยานหลักฐาน พยานวัตถุ และพยานบุคคลในการพิจารณามากกว่า ฯลฯ 20.41% มีผลอยู่มาก เพราะกระแสสังคมหรือเสียงสะท้อนของคนส่วนใหญ่สามารถกดดันหรือส่งผลต่อการพิจารณาของศาลได้ ฯลฯ และ 13.06% ไม่มีผล เพราะคำพิพากษาตัดสินต่างๆ จะต้องว่าไปตามตัวบทกฎหมายที่ระบุไว้อย่างชัดเจน ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้เอง ฯลฯ
เมื่อถามว่า ประชาชนมีความเชื่อถือ เชื่อมั่นต่อคำพิพากษาของศาลฎีกามากน้อยเพียงใด 46.34% ค่อนข้างเชื่อถือ เชื่อมั่น เพราะเป็นคำพิพากษาที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วหลายขั้น ยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทย ฯลฯ 27.64% เชื่อถือ เชื่อมั่นมาก เพราะองค์คณะหรือผู้พิพากษามีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย มีการตัดสินที่เป็นธรรม เป็นที่พึ่งของประชาชนได้ ฯลฯ 23.58% ไม่ค่อยเชื่อถือ เชื่อมั่น เพราะมีหลายคดีที่เห็นว่าผลการตัดสินไม่มีความยุติธรรม มีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ฯลฯ และ 2.44% ไม่เชื่อถือ เชื่อมั่น เพราะมีการแทรกแซงจากผู้มีอิทธิพลและนักการเมือง ถูกกดดันจากสังคม ฯลฯ
