xs
xsm
sm
md
lg

“จิรายุ” บี้ คอป.ถามทำไมฟันธง “เดียร์” จับผิดกลบคดี “คำกอง” อ้างชายชุดดำฝ่ายทหาร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (ภาพจากแฟ้ม)
ส.ส.เพื่อไทย บี้ คอป.เตรียมชง กมธ.กฎหมายตรวจสอบ เหตุใช้งบมาก แต่ข้อมูลกลับไม่กล้าฟันธงใครผิด ด้าน “ลูก เสธ.แดง” ซัดผล คอป.โยงพ่อเอี่ยวชุดดำไม่เป็นธรรม โยงคดี “คำกอง” แท็กซี่แดงหวังกลบกระแส อ้างชายชุดดำเป็นฝ่ายเดียวกับทหาร มีภาพในโซเชียลมีเดีย

วันนี้ (19 ก.ย.) ที่รัฐสภา นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ตามที่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ได้มีรายงานฉบับสมบูรณ์ผลการสรุปเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อ เม.ย.-พ.ค. 2553 โดยทางพรรคเพื่อไทย ยังมองว่า ข้อมูลรายงานดังกล่าวยังไม่มีความครอบคลุมนั้น ในวันที่ 26 ก.ย.ตนในฐานะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ที่มี พล.ต.อ.วิรุฬ ฟื้นแสน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นประธานกรรมาธิการ จะได้ยื่นหนังสือเสนอต่อ พล.ต.อ.วิรุฬ ให้มีการพิจารณาตรวจสอบการทำงานของ คอป.เป็นวาระในที่ประชุม โดยยังสงสัยการใช้งบประมาณจำนวนมากในการตั้คณะอนุกรรมการขึ้นมาทำงานช่วยเหลือ คอป.แต่กลับได้รายงานมาแค่ฉบับเดียว ทำไมไม่กล้าฟันธงว่าเป็นการกระทำของฝ่ายใด ถ้าไม่ใช่การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐจริง ก็ควรระบุได้ว่าเป็นการกระทำเกิดขึ้นจากใคร

ด้าน นางสาวขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย บุตรสาวของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก โพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัวถึงกรณีคำแถลงรายงานของ คอป.ว่า การที่ คอป.จัดทำรายงานออกมาโดยพยายามโยนบาปมาที่บิดาตนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับชายชุดดำ ในเหตุการณ์การชุมนุมในช่วงเดือน เม.ย.และ พ.ค.2553 ถือว่าไม่มีความเป็นธรรมกับบิดาที่ไม่สามารถมาชี้แจงความบริสุทธิ์ได้แล้ว ยังน่าสังเกตว่า จังหวะเวลาที่ คอป.นำรายงานนี้มาเปิดเผย ในวันเดียวกันกับที่ศาลมีคำสั่งกรณีการเสียชีวิตของ นายพัน คำกอง โชเฟอร์แท็กซี่ที่ศาลสั่งว่าเป็นการตายจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ทหารตามคำสั่ง ซึ่งเป็นไปได้หรือไม่ว่า จะเป็นการพยายามกลบกระแสข่าว และทำลายน้ำหนักกรณีคำสั่งศาล

นอกจากนี้ ยังน่าสังเกตว่า การรวบรวมข้อเท็จจริงของ คอป.จะเรียกได้ว่า เป็นพยานหลักฐาน ตามกฎหมายได้หรือไม่ เพราะไม่ได้รวบรวมโดยพนักงานสอบสวน การซักถามบุคคลของ คอป.ก็ไม่ถือว่าเป็นการสอบสวน เพราะไม่ใช่เป็นการให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งจะต้องมีการสาบานตน และถ้าให้การเป็นเท็จก็จะมีโทษทางอาญา ดังนั้น ใครจะมาให้การอย่างไรก็ได้ ที่สำคัญคือ ไม่มีกระบวนการการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน และก็ไม่ต้องรับผิดชอบในฐานะพนักงานสอบสวนทั่วไปด้วย โดยเฉพาะกรณีที่ระบุว่า บิดาเข้าไปมีส่วนกับกรณีชายชุดดำ เพราะจากข้อมูลที่เรามี โดยเฉพาะเรื่องภาพถ่าย ที่มีการเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในระหว่างการเกิดเหตุนั้น ชายชุดดำอยู่ปะปนกับเจ้าหน้าที่หลายภาพ ซึ่งเป็นหลักฐานที่มีความชัดเจนมาก ซึ่งไม่ทราบว่า คอป.ได้นำหลักฐานเหล่านี้ไปร่วมพิจารณา ก่อนที่จะมีการสรุปรายงานฉบับนี้ออกมาหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น