สำรวจทรัพย์ “เต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” 5 เดือน ก่อนโดดนั่งเก้าอี้รมช.เกษตรฯ หนี้ลดลงเกือบ 5 แสนบาท เงินฝากเพิ่มกว่า 5 แสนบาท ไม่นับรวมถึงช่วงออกรถป้ายแดง 2.2 ล้าน ขณะที่กู้เงินแค่ 1.3 ล้าน เผยปีเผาบ้านเผาเมืองถอยรถมูลค่า 3 ล้านบาทมาแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวอิศรา ได้แกะบัญชีทรัพย์สิน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในห้วงเวลา 5 เดือนเศษก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่ามียอดหนี้กับสถาบันการเงิน 3 แห่งลดลงเกือบ 5 แสนบาท และมีเงินฝากเพิ่มขึ้นกว่า 5 แสนบาท
ทั้งนี้ ตอนรับตำแหน่ง ส.ส.วันที่ 3 สิงหาคม 2554 นายณัฐวุฒิยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุว่ามีหนี้เงินกู้สถาบันการเงิน 3 แห่ง ได้แก่
1.ธนาคารกสิกรไทย ทำสัญญา 28 มี.ค. 2548 ยอดหนี้คงเหลือ 4,721,717.85 บาท
2.ธนาคารธนชาต ทำสัญญา 4 มี.ค. 2553 ยอดหนี้คงเหลือ 839,697 บาท
3.ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำสัญญา 21 เม.ย. 2551 ยอดหนี้คงเหลือ 668,786.55 บาท
รวม 6,230,201.40 บาท
นางสิริสกุล คู่สมรส หนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ 1 รายการ ได้แก่ บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด วันทำสัญญา 22 พ.ย. 2553 ยอดหนี้คงเหลือ 507,842 บาท
ต่อมาตอนรับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วันที่ 18 มกราคม 2555 (ประมาณ 5 เดือนครึ่งหลังเป็น ส.ส.) นายณัฐวุฒิแจ้งว่ามีแจ้งว่ามีหนี้สถาบันการเงิน 4 รายการ ได้แก่
1.ธนาคารกสิกรไทย ทำสัญญา 28 มี.ค. 2548 ยอดหนี้คงเหลือ 4,494,302.51 บาท
2.ธนาคารธนชาต ทำสัญญา 4 มี.ค. 2553 ยอดหนี้คงเหลือ 753,436 บาท
3.ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำสัญญา 21 เม.ย. 2551 ยอดหนี้คงเหลือ 509,564.11 บาท
4.ธนาคารกสิการไทย ทำสัญญา 21 ก.ย. 2554 ยอดหนี้คงเหลือ 1,391,807.84 บาท
รวม 7,149,110.46 บาท
ขณะที่ นางสิริสกุล คู่สมรส หนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ 1 รายการ ได้แก่ บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด วันทำสัญญา 22 พ.ย. 2553 ยอดหนี้คงเหลือ 477,246 บาท
ถ้าไม่นับหนี้ก้อนใหม่กับธนาคารกสิกรไทยซึ่งทำสัญญาวันที่ 21 ก.ย. 2554 เปรียบเทียบยอดหนี้ 3 สัญญาในช่วงเวลาห่างกัน 5 เดือนเศษพบว่า
1.ธนาคารกสิกรไทย ทำสัญญา 28 มี.ค. 2548 ยอดหนี้ลดลง 227,415.34 บาท
2.ธนาคารธนชาต ทำสัญญา 4 มี.ค. 2553 ยอดหนี้ลดลง 86,261 บาท
3.ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำสัญญา 21 เม.ย. 2551 ยอดหนี้ลดลง 159,222.44 บาท
รวม 3 รายการลดลง 472,898.78 บาท
ขณะที่ยอดหนี้ของนางสิริสกุลลดลง 30,596 บาท
รวม 2 คนลดลง 503,494.78 บาท
และถ้าพลิกดูรายการ “เงินฝาก” จะพบว่า
3 สิงหาคม 2554 นายณัฐวุฒิมีเงินฝาก 219,305.84 บาท นางสิริสกุล มีเงินฝาก 3,843,646.41 บาท บุตรไม่บรรลุนิติภาวะมีเงินฝาก 1,213,606.44 บาท
18 มกราคม 2555 นายณัฐวุฒิมีเงินฝาก 658,405.9 บาท นางสิริสกุล มีเงินฝาก 2,906,942.75 บาท บุตรไม่บรรลุฯ เงินฝาก 2,294,370.19 บาท
เท่ากับนายณัฐวุฒิเงินฝากเพิ่มขึ้น 439,100.06 บาท นางสิริสกุลเงินฝากลดลง 936,703.66 บาท บุตรไม่บรรลุฯ เงินฝากเพิ่มขึ้น 1,080,763.75 บาท
ถ้าดูรายการ “รถยนต์” จะพบว่า
3 สิงหาคม 2554 นายณัฐวุฒิแจ้งว่ามีรถยนต์ 2 คัน หมายเลขทะเบียน ฮธ 777 กรุงเทพมหานคร ได้มา 4 มี.ค. 2553 มูลค่า 3,000,000 บาท และ กพ 4141 นนทบุรี ได้มา 26 ธ.ค. 2550 มูลค่า 750,000 บาท
นางสิริสกุล มี 1 คัน หมายเลขทะเบียน กย 530 นนทบุรี ได้มา 22 พ.ย. 2553 มูลค่า 938,000 บาท
18 มกราคม 2555 นายณัฐวุฒิแจ้งว่ามีรถยนต์เพิ่มขึ้นมาอีก 1 คัน รถยนต์หมายเลขทะเบียน 4593 (ป้ายแดง) ได้มา 21 ก.ย. 2554 มูลค่า 2,242,990.65 บาท ขณะที่นางสิริสกุลมี 1 คันเท่าเดิม
เห็นได้ว่าวันที่ครอบครองรถยนต์ป้ายแดงเป็นวันเดียวกับวันทำสัญญาเป็นหนี้กับธนาคารกสิกรไทย วันที่ 21 ก.ย. 2554 ยอดหนี้คงเหลือ 1,391,807.84 บาท
เพราะฉะนั้น หนี้สินกับธนาคารกสิกรไทย จำนวน 1,391,807.84 บาท คือหนี้จากการซื้อรถยนต์คันใหม่ป้ายแดงนั่นเอง (ระบุว่ามีมูลค่า 2,242,990.65 บาท)
สรุปได้ว่า ถ้าไม่นับหนี้สินจากถอยรถป้ายแดง ในช่วงเวลา 5 เดือน นายณัฐวุฒิมียอดหนี้เก่า 3 รายการลดลงเกือบ 5 แสนบาท เงินฝากเพิ่มขึ้น 582,860 บาท (3 คน)
ในขณะที่เงินเดือน ส.ส.และเงินประจำตำแหน่ง เดือนละ 113,560 บาท และในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินนายณัฐวุฒิก็มิได้ระบุว่ามีรายได้อื่น